อาการปวดบริเวณท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกรานในช่วงมีรอบเดือน (Menstrual Pain/ Dysmenorrhea) มักจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอก่อนรอบเดือนมาเพียงเล็กน้อย หรือเกิดขึ้นระหว่างที่มีรอบเดือน บางรายปวดรุนแรง และมีไข้ร่วมด้วย รู้สึกปวดตุบๆ หรือปวดบีบ โดยอาการอาจรุนแรง หรือไม่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่อาการดังกล่าวมักเกิดขึ้นเป็นเวลา 2-3 วัน
ใครที่เคยปวดท้องประจำเดือนคงรู้ซึ้งถึงความทรมานที่เกิดขึ้น ดังนั้น เราจึงขอแนะนำวิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือนให้คุณสาวๆ ได้นำไปใช้กัน โดยแบ่งเป็นวิธีดูแลด้วยตัวเอง และวิธีรักษาทางการแพทย์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.เริ่มต้นจากดูแล“ตัวเอง” ในช่วงวันนั้นของเดือน ผู้ที่รู้สึกปวดท้องประจำเดือนสามารถดูแลตัวเองเพื่อให้อาการดังกล่าวทุเลาลงได้ ด้วยการวางถุงน้ำร้อน หรือประคบร้อนที่บริเวณท้องน้อย หลายๆ ท่านอาจมีอาการปวดหลังร่วมด้วย แนะนำให้นวดคลึงบริเวณท้องน้อย และหลังของตัวเอง เลือกอาบน้ำอุ่นเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย รวมถึงพยายามดูแลร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางสารอาหาร ลดอาหารที่มีเกลือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ก็จะช่วยให้อาการปวดในแต่ละเดือนค่อยๆ ดีขึ้น
2.เพิ่มตัวช่วยด้วยอาหารเสริม
หากอาการปวดไม่ดีขึ้น อาจแก้ปัญหาด้วยการรับประทานยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) โดยรับประทานก่อนที่ประจำเดือนจะมา ทั้งนี้ ยาไอบูโพรเฟน อาจเกิดผลข้างเคียงในบางราย ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน หรือรับประทานยาที่ยับยั้งสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งจะช่วยให้มดลูกไม่บีบตัวมากเกินไป นอกจากนี้ แนะนำให้รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 วิตามินบี 1 วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม และกรดโอเมกา- 3 อย่างที่เราทราบกันว่า โอเมกา-3 จัดเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเนื่องจากร่างกายสร้างเองไม่ได้ และพบในน้ำมันทั่วไปได้น้อย หากร่างกายขาดไป จะทำให้ร่างกายขาดความสมดุล อีกทั้งโอเมกา-3 ยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และบรรเทาอาการปวดท้องจากการหดเกร็งของมดลูกในช่วงก่อน หรือระหว่างมีประจำเดือนได้ด้วย
3.รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
ในรายที่อาการปวดประจำเดือนค่อนข้างรุนแรง จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ รวมทั้งอาการก็ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงหลังจากดูแลด้วยตัวเอง ก็อาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งวิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและสาเหตุของอาการปวดประจำเดือน เช่น- การรักษาด้วยยา เช่น ยาแก้ปวดชนิดที่ไม่ผสมสารสเตียรอยด์ (Non Steroidal Anti-Inflammatory Drugs: NSAIDS) หรือยาแก้ปวดอื่นๆ รวมทั้งอาจใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับระดับฮอร์โมน โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
- การรักษาด้วยการผ่าตัด สำหรับผู้ที่ปวดประจำเดือนที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายเช่น เนื้องอกมดลูก ซีสต์ในรังไข่ หรือเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่ การรักษาอาจใช้วิธีการผ่าตัด ซึ่งเป็นวิธีสุดท้าย เพราะนอกจากหมดปัญหาอาการปวดประจำเดือนแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อวางแผนมีบุตรในอนาคตได้อีกด้วย
ข้อมูลโดย : นายแพทย์สุวันชัย ชัยรัชนีบูลย์
สูติ-นรีแพทย์ เฉพาะทางด้านการส่องกล้องผ่าตัด
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน ศูนย์สุขภาพสตรี อาคาร 1 ชั้น 4
โทร.0-2271-7000 ต่อ สุขภาพสตรี