ประเทศไทยเราในปัจจุบันนี้ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ดังนั้นการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญเป้าหมาย คือ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่ไปกับอายุที่ยืนนาน แต่อย่างไรก็ดี เมื่อวัยที่ก้าวล่วงมากขึ้นนั้น โรคภัยหรือปัญหาต่างๆ ย่อมมีมากขึ้นตามมาด้วย ดังนั้นผู้สูงอายุควรได้รับการประเมินสภาวะทางสุขภาพ ไม่ว่าจะโดยตนเอง ลูกหลาน ผู้ดูแล หรือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อมายังสถานพยาบาล
คำจำกัดความของผู้สูงอายุไทย คือ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ลักษณะของผู้สูงอายุที่ต่างจากผู้ที่มีอายุน้อย ที่สำคัญมีด้วยกันอยู่ 5 เรื่อง คือ
- ความสามารถสำรองของร่างกายลดลง (Reduced Body Reserve) เช่น เหนื่อยง่าย กล้ามเนื้อล้าง่าย หรือเกิดโรคที่เกิดจากภาวะนี้ได้แก่ หลอดเลือดแดงแข็ง กระดูกพรุน และหักง่าย หรือสมองฝ่อ เป็นต้น
- ความผิดปกติที่ไม่จำเพาะ (Atypical Presentation) เช่น ติดเชื้อง่ายจากภูมิคุ้มกันเสื่อมลง การเดินไม่มั่นคง ล้มง่าย จากระบบประสาทการทรงตัว และการรับรู้สัมผัสเสื่อมถอยลง
- การมีโรคของหลายระบบร่วมกัน (Multiple Pathology) ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะถดถอยและพึ่งพา
- การใช้ยาหลายขนาน (Polyphamacy) หากผู้สูงอายุมีหลายโรค ต้องใช้ยาหลายขนาน และอาจนำไปสู่ภาวะปฏิกิริยาของยาหรือผลข้างเคียงร่วมจากยาที่ใช้ และอาจเกิดโรคเพิ่มขึ้นอีกได้
- การขาดการสนับสนุนทางสังคม (Social Adversity) เกิดจากการเกษียณอายุจากงาน ลูกหลานแยกบ้านไป คู่ครองเสียชีวิต หรือปัญหากำลังทรัพย์ ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
ดังนั้นการประเมินผู้สูงอายุที่ดี และถูกต้องนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ หลักการประเมินผู้สูงอายุจึงต้องประเมินทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมควบคู่กันไป ดังนี้
การประเมินทางด้านร่างกาย (Physical Assessment) ได้แก่ วัดความดันโลหิต ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจสุขภาพช่องปาก - ประเมินการได้ยิน
- ประเมินสุขภาวะทางตา คัดกรองสายตา ตรวจต้อกระจก ต้อหิน หรือจอตาเสื่อม ซึ่งต้องประเมินโดยบุคลากรทางการแพทย์ หรือจักษุแพทย์
- การประเมินทางสมองเบื้องต้น เช่น ถามวัน เดือน ปี สถานที่ นับเลขถอยหลัง ถามเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ผ่านมาเป็นต้น หรือใช้แบบประเมิน เช่น TMSE (Thai Mental State Examination) แบบการตรวจสุขภาพจิตแบบย่อ ใช้ทดสอบการทำงานของสมองด้านความรู้ ความเข้าใจ ในการคัดกรองคนไข้สมองเสื่อม ในการจำแนกความบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมองด้านความรู้ความเข้าใจและอาการสมองเสื่อมในผู้สูงอายุไทยมีคะแนนเต็ม 30 คะแนน เป็นต้น
- ประเมินภาวะกระดูกบาง ความเสี่ยงในการล้ม และข้อเข่าเสื่อม โดยการถามอาการปวด ตรวจลักษณะข้อ ใช้การคัดกรอง Time Up And Go Test เพื่อดูความเสี่ยงในการล้ม หรือการดูภาพถ่ายเอ็กซเรย์ หรือมวลกระดูก และวินิจฉัยโดยแพทย์เป็นต้น
ประเมินภาวะโภชนาการ น้ำหนักตัว ดัชนีมวลกาย (BMI) มวลกล้ามเนื้อ (lean body mass) โปรตีนอัลบูมินซึ่งมีผลต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ
ประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะ และการขับถ่าย ซึ่งเป็นสุขภาวะที่สำคัญ นำไปสู่โรคต่างๆ ได้ เช่นติดเชื้อ หรือแม้กระทั่งมีผลต่อการล้ม
การประเมินทางด้านจิตใจ (Psychological Assessment) อาจใช้การสังเกตจากญาติ ลูกหลาน หรือใช้แบบประเมินภาวะซึมเศร้า เช่น Thai Geriatric Depression Scale โดยผู้ชำนาญ นอกจากนี้ ต้องประเมินปัญหาการนอนในผู้สูงอายุ เพราะการนอนที่ไม่ดี นำไปสู่ปัญหาอื่นๆได้ หากไม่ได้รับการแก้ไข
การประเมินความสามารถ (Functional Assessment) ได้แก่ การประเมิน ADL (activity of daily living) โดยใช้แบบประเมินมาตรฐาน เช่น Barthel index, FIM เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยบอกความผิดปกติต่างๆของผู้สูงอายุได้ หากความสามารถลดลงหรือถดถอยอย่างรวดเร็วหรือชัดเจน อีกทั้งการดูแลให้คงสภาพไว้ซึ่งความสามารถเดิมหรือเพิ่มขึ้น จะช่วยลดภาวะพึ่งพา และทำให้ตัวผู้สูงอายุเองมีกำลังใจ
การประเมินทางด้านสังคม (Social Assessment) เช่น ตัวผู้ดูแล ปฏิสัมพันธ์ของครอบครัว เศรษฐานะ สภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่ครอบครัว ผู้ดูแล บุคลากรทางการแพทย์ ต้องตระหนักร่วมกัน เพราะแม้จะดูแลทางด้านร่างกายดีแล้ว แต่หากภาวะทางสังคมไม่เอื้ออำนวยก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน
สรุปว่า การจะดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น เราจะต้องประเมินในหลายๆ องค์ประกอบร่วมกัน การดูแลรักษาจึงจะครอบคลุม เป็นผู้สูงอายุที่มีความสมบูรณ์ที่สุดตามอัตภาพ ทั้งกาย และจิตใจ ลดภาวะพึ่งพาต่อลูกหลาน และสังคม เรียกได้ว่า ชราไปอย่างมีคุณภาพที่สุด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 1772