“อ้วน” สิ่งที่เราควรรู้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้ใครมาสะกิดบอก แต่การจะให้ยอมรับกับตัวเองตรงๆ ก็คงเป็นเรื่องที่ทำใจ (ได้) ยาก จึงต้องใช้ “ค่าดัชนีมวลกาย” เป็นตัวบอก จะได้หมดจากทุกข้อสงสัย และไม่ต้องมานั่งคิด (เข้าข้าง) ว่าตัวเองอ้วน หรือไม่
ค่าดัชนีมวลกาย แบ่งได้อย่างไร
ค่า BMI คือค่าดัชนีที่ใช้ชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) และส่วนสูง (เซนติเมตร) ซึ่งสามารถระบุได้ว่า ตอนนี้รูปร่างของคนนั้นอยู่ในระดับใด ตั้งแต่อ้วนมากไป จนถึงผอมเกินไป Body Mass Index (BMI)
มีสูตรการคำนวณ = น้ำหนักตัว / (ส่วนสูง ยกกำลังสอง) สูตรคำนวณเหมาะสำหรับใช้ประเมินกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปี ขึ้นไป
จากผลการคำนวณที่แตกต่างกัน สามารถจำแนกความเสี่ยงได้ ดังนี้
กลุ่มความเสี่ยง | ค่าดัชนีมวลกาย (กิโลกรัม ต่อตารางเมตร)
|
ผอม หรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
| น้อยกว่า 18.5
|
ร่างกายสมส่วน
| 18.5 - 22.9
|
ภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ระดับที่ 1
| 23.0 - 24.9
|
โรคอ้วน หรือโรคอ้วน ระดับที่ 2
| 25.0 - 29.9
|
โรคอ้วนอันตราย หรือโรคอ้วน ระดับที่ 3
| ตั้งแต่ 30.0 ขึ้นไป
|
ทำน้ำหนักให้ (อยู่ในเกณฑ์) พอดี
• น้อยไปต้องเพิ่ม หากคำนวณแล้วพบว่าตัวเลขอยู่ในกลุ่มต่ำกว่าเกณฑ์ ก็ควรจะต้องทำน้ำหนักเพิ่มสัปดาห์ละ 0.5 – 1 กิโลกรัม ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้
• รับประทานอาหารที่มีโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น นม เนื้อสัตว์ เนยถั่ว
• รับประทานอาหารว่างบ่อยครั้ง ตลอดเวลา
• เพิ่มอาหารที่มีแคลอรีสูงในอาหารจานหลัก เช่น ถั่ว อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดเจีย
• ไม่ควรดื่มเครื่องดื่ม ก่อนมื้ออาหาร
• มากไปต้องลด ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือเข้าข่ายเป็นโรคอ้วน ก็ควรกำหนดกิจกรรมการลดน้ำหนัก และระยะเวลาให้ชัดเจนด้วยการ
• ควมคุมการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำและให้พลังงานต่ำ เพื่มการกินธัญพืช ผัก และผลไม้ ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อหลักเกิน 3 มื้อ ต่อวัน
• ออกกำลังกาย อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเพิ่มการมีกิจกรรมทางกายมากขึ้น เช่นการทำงานบ้านด้วยตนเอง การเดินแทนการนั่งรถ
• ไม่ควรใช้ยาลดความอ้วน โดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 1772 ต่อ คลินิกลดน้ำหนัก Weight wellness clinic
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09:00 - 17:00 น.