โรคหนองใน GONORRHOEA
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน
27-พ.ย.-2564
title โรคหนองใน”คือ  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถพบได้บ่อยมากเป็นอันดับแรกสุด คือ พบได้ประมาณ  40 - 50% ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคหนองใน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โรคหนองในแท้ หรือ โกโนเรีย (Gonorrhoea) เกิดจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีรูปร่างค่อนข้างกลม

อยู่กันเป็นคู่หันด้านเว้าเข้าหากัน ดูคล้ายเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดถั่ว ย้อมสีแกรมติดสีแดง เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก Mucous Membrance เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา คอ เป็นต้น โดยเชื้อนี้มีระยะฟักตัวเร็ว คือประมาณ 1-10 วัน ส่วน โรคหนองใน อีกประเภท คือ โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis)หรือ NSU เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่หนองในแท้ 


ปัจจัยเสี่ยง

ชายร่วมประเวณีกับหญิงที่มีเชื้อหนองในจะติดเชื้อประมาณ 30 % ส่วนหญิงร่วมประเวณีกับชายที่มีเชื้อหนองใน จะมีโอกาสจะติดเชื้อประมาณ 80 %

อาการ โดยทั่วไป โรคหนองในจะแพร่เชื้อไว้ในท่อปัสสาวะในชาย และในท่อปัสสาวะและปากมดลูกในสตรี นอกจากนั้นมันอาจแพร่เชื้อในทวารหนักและในลำคอได้ด้วย ทั้งนี้ลักษณะอาการที่สามารถพบได้ คือ
  • ผู้ชาย: อาการของโรคหนองในขึ้นอยู่กับบริเวณที่ติดเชื้อ ผู้ชายบางคนโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหนองที่ทวารหนัก และลำคอ จะไม่มีร่องรอยหรืออาการใดๆ เลย แต่ถ้ามีอาการเกิดขึ้นอาจรวมถึงมีของเหลวข้นสีเหลือง หรือขาวที่ไหลออกจากองคชาต เจ็บหรือลำบากในการถ่ายปัสสาวะ บริเวณรอบๆ รูองคชาตเป็นสีแดง มีของเหลวออกจากทวารหนัก และรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว
  • ผู้หญิง: ส่วนใหญ่ไม่มีร่องรอยหรืออาการใดๆ แต่ถ้ามีอาการเกิดขึ้น อาจรวมถึงมีของเหลวออกจากช่องคลอดมากผิดปกติ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ถ่ายปัสสาวะลำบาก เจ็บอุ้งเชิงกรานโดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์ มีของเหลวออกจากทวารหนัก และรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว หากทิ้งไว้ไม่รับการรักษาโรคหนองในอาจแพร่สู่มดลูกและท่อทางเดินรังไข่ ทำให้เกิดโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (พีไอดี) ซึ่งอาจนำไปสู่อาการแทรกซ้อนต่างๆ รวมทั้งการเป็นหมัน
โรคหนองในแพร่กระจายได้อย่าง
ทันที เมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปากโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

ควรพบแพทย์เมื่อไร?
หากมีอาการปัสสาวะแสบขัด หรือมีอาการปวด หรือผื่นขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ควรหยุดการมีเพศสัมพันธ์ แล้วรีบปรึกษาแพทย์ ถ้าแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคหนองใน และหลังได้รับการรักษาแล้ว เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำอีก ควรแจ้งให้คู่นอนมารับการรักษาด้วย และให้งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการจะหายดีแล้ว
การรักษา : การรักษาโรคหนองใน คือ การใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งใช้ได้ผลดี แต่ในหลายพื้นที่อาจมีเชื้อดื้อยาได้ ดังนั้น หลังการรักษา ถ้ายังคงมีอาการ จึงควรต้องกลับมาปรึกษาแพทย์อีกครั้ง สำหรับในผู้หญิงที่มีอาการหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ร่วมกับมีไข้สูง ปวดท้องน้อย ขัดเบา ตกขาว อาจเป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมงนอกจากนั้น จำเป็นต้องตรวจหาการติดเชื้อที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วยโดยเฉพาะ เชื้อ เอชไอวี (HIV) หรือ โรคเอดส์

การปฏิบัติ และ การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

1. งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหายทั้งผู้ป่วยและคู่นอน ถ้าจำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัย
2. รับประทานยา หรือรับการรักษาจนครบตามแผนการรักษาของแพทย์
3. ดูแลความสะอาดร่างกาย และความสะอาดของเสื้อผ้า ชุดชั้นใน ไม่ใส่ซ้ำ ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
4. ดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังขับถ่ายโดยล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง แล้วซับให้แห้งด้วยผ้าหรือทิชชูที่สะอาด
5. มารับการตรวจรักษาตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
6. ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น หรือมีหนองไหลจากอวัยวะสืบพันธุ์ ควรไปพบแพทย์ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
7. หากคู่นอนมีอาการน่าสงสัย ควรแนะนำ พามาพบแพทย์ และใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 1772