ไวรัสตับอักเสบบี หนึ่งในสาเหตุโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
โรงพยาบาลเปาโลโชคชัย4
14-มิ.ย.-2566
title “โรคตับอักเสบ” ที่เกิดจากไวรัส เป็นอีกโรคหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ละเลยในการป้องกัน แม้ไวรัสตับอักเสบบางชนิดจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งตับก็ตาม และที่น่ากังวลก็คือ การติดเชื้อไว้รัสตับอักเสบนั้น สามารถติดต่อได้ง่ายจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันเลยทีเดียว


รู้จัก “ไวรัสตับอักเสบ”เชื้อร้ายที่อาจทำให้คุณเป็นมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบมีอยู่หลายชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ, บี, ซี, ดี และอี แต่ชนิดที่มีอันตรายและได้ยินกันคุ้นหูก็คือ ไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งไม่ว่าใครที่ได้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าสู่ร่างกาย ก็มีโอกาสที่ไวรัสจะค่อยๆ เติบโตและพัฒนาไปเป็นไวรัสที่สมบูรณ์ในตับ ก่อนจะแพร่กระจายสู่กระแสเลือด

นอกจาก ไวรัสตับอักเสบบี จะทำให้เกิดโรคตับอักเสบจนมีภาวะป่วยเรื้อรังแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะตับแข็ง และนำไปสู่การเป็น โรคมะเร็งตับ ได้ นพ.สิริพงษ์ โสภิตภักดีพงษ์ อายุรแพทย์ประจำศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 บอกว่า

“เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือเป็นโรคตับแข็งแล้ว จะนำไปสู่การเป็นโรคตับอื่นๆ ได้อีก โดยเฉพาะมะเร็งตับ ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในประเทศไทย ทั้งยังเป็นมะเร็งที่รักษาให้หายขาดได้ยากอีกด้วย”

เช็กสิ!! หากมีอาการแบบนี้ รีบพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดด่วน

ไวรัสตับอักเสบบี สามารถแพร่หรือส่งผ่านจากคนสู่คน โดยมักพบในเลือดและสารคัดหลั่ง จึงติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างง่ายๆ รวมถึงการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก การสักตามร่างกาย และการเจาะหู เป็นต้น

ในระยะเริ่มต้นของการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการหรือความผิดปกติใดๆ แต่หากเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร แน่นท้อง เหนื่อยง่าย ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลืองเมื่อไหร่ แสดงว่าเซลล์ตับถูกทำลายไปมากแล้ว ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเมื่อนานมาแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นหากมีอาการเมื่อไหร่ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด


ลดความเสี่ยง...ด้วย “วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี”

ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมา วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในวัคซีนพื้นฐานที่ทารกทุกคนจะได้รับ จึงช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดโรคได้เป็นอย่างมาก ส่วนในวัยรุ่นอายุ 11-15 ปี ที่เกิดก่อนปี 2535 และยังไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้ จะมีการให้แบบ 2 เข็มโดยห่างกัน 6 เดือน และผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป จะฉีดวัคซีนครั้งละ 1 มล. ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นานกว่า 10 ปี


ทั้งนี้ ก่อนฉีดวัคซีน จะต้องตรวจสอบว่ามีประวัติการแพ้วัคซีนหรือส่วนประกอบของวัคซีนหรือไม่ และต้องไม่ลืมว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีป้องกันได้เพียงไวรัสตับชนิดบีเท่านั้น หากต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นๆ ก็ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสชนิดนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วย




สอบถามรายละเอียด

คลินิกอายุรกรรม อาคาร 5 ชั้น 1
โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4
โทร. 02-514-4141 ต่อ 5188 - 5189