“โรคเก๊าท์” รักษาได้ ถ้าไม่อยากเป็นๆหายๆ
โรคเก๊าท์ เป็นหนึ่งในโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้สูงวัย ถึงแม้จะได้ยินชื่อโรคเก๊าท์อยู่บ่อยๆ แต่ก็น้อยคนที่จะรู้จักจริงๆ ว่าเก๊าท์คืออะไร และด้วยความไม่รู้นี้จึงทำให้เราอาจดำเนินชีวิตประจำวันอยู่บนความเสี่ยง ดังนั้นการทำความเข้าใจในโรคเก๊าท์ในวันที่เรายังไม่เป็นโรค จึงช่วยให้เรารับมือกับโรคนี้ได้อย่างปลอดภัย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโรคเก๊าท์กันก่อน...
โรคเก๊าท์...ภาวะที่ทำให้เราปวดข้อ
โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ ทำให้มีการตกผลึกของเกลือยูเรตในข้อ ก่อให้เกิดการอักเสบในข้อ และเกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในข้อตามมา ส่งผลให้มีอาการปวด บวม แดงบริเวณข้ออย่างเฉียบพลัน โดยโรคเก๊าท์สามารถกำเริบขึ้นได้ทุกเวลารวมถึงช่วงเวลานอนหลับ ซึ่งความรุนแรงของอาการโรคเก๊าท์อาจมีความรุนแรงต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะอาการของโรค
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง...ต้นเหตุของการเกิดโรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมตัวของกรดยูริกในกระแสเลือดมากเกินไป โดยกรดยูริกจะได้จากการเผาผลาญสารพิวรีน (Purines) ซึ่งปกติร่างกายจะสามารถสังเคราะห์สารนี้เองได้ และจะขับกรดยูริกออกผ่านทางไตให้ทันต่อการสร้างใหม่ แต่หากได้รับสารพิวรีนมากเกินไปจนร่างกายได้รับกรดยูริกมากเกินไป หรือร่างกายขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้น้อย ก็จะส่งผลให้เกิดเป็นโรคเก๊าท์
สารพิวรีนสามารถได้รับจากแหล่งอาหารทั่วไป แต่จะมีอาหารบางชนิดที่มีสารตัวนี้สูง ซึ่งแหล่งอาหารที่มีสารเพียวรีนสูงได้แก่ เนื้อแดง เครื่องในโดยเฉพาะตับ หรืออาหารทะเล เช่น หอยแมลงภู่ ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า รวมถึงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลฟรุกโตส อย่างไรก็ตาม กรดยูริกในเลือกที่สูงเกินมาตรฐาน อาจไม่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์เสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยและร่างกายของแต่ละบุคคล
ปวดตามข้อ...อาจเป็นอาการของโรคเก๊าท์
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเก๊าท์จะมีอาการปวดร้อนรุนแรงบริเวณข้อที่เกิดอาการ จนไม่สามารถทนแรงกดต่างๆ ได้ ผิวหนังบริเวณข้อมีลักษณะบวมแดงและแวววาวขึ้น ส่วนใหญ่มักพบบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดขึ้นบริเวณข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ข้อนิ้ว และข้อศอก
ส่วนใหญ่การอักเสบจะหายได้เองในเวลา 1 สัปดาห์ หากได้รับการรักษาอาจหายได้เร็วขึ้น เมื่อหายแล้วอาจเป็นขึ้นใหม่ได้อีก ทำให้เกิดอาการเป็นๆ หายๆ ซึ่งอาการที่กำเริบซ้ำในอนาคตมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นและเกิดในข้ออื่นได้เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยกระตุ้นได้แก่ การรับประทานอาหารที่มียูริกสูงและความเครียด
หากปล่อยโรคเก๊าท์ไว้...อาจเสี่ยงเป็นก้อน “Tophus”
ในผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบเรื้อรังจากโรคเก๊าท์เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงบริเวณข้อต่อ และเกิดการรวมตัวของกรดยูเรตทำให้เกิดเป็นก้อนบวมขึ้นบริเวณข้อที่มีอาการ เรียกว่า “Tophus” โดยทั่วไปแล้วก้อน Tophus มักไม่มีอาการเจ็บ แต่หากมีอาการโรคเก๊าท์กำเริบอาจทำให้เกิดอาการบวมและเจ็บขึ้นได้ และหากปล่อยไว้เจ้าก้อนนี้อาจทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้ข้อผิดรูป พิการ หรือเส้นเอ็นขาดได้
รักษา “โรคเก๊าท์” ทำได้อย่างไร
การรักษาโรคเก๊าท์สามารถให้การรักษาด้วยกัน 2 วิธี ได้แก่
การรักษาโดยการไม่ใช้ยา : เป็นการรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น
การรักษาโดยการใช้ยา : ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีใช้ยา ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยสามารถแบ่งยาออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งแต่ยาแต่ละประเภทจะมีหน้าที่ในการรักษาแตกต่างกัน ได้แก่
หากผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องมักจะหายสนิทภายในระยะเวลา 1-3 วัน แต่หากละเลยปละปล่อยทิ้งไว้ไม่รับการรักษาอาการจะหายเองได้ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ และอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต
ลดเสี่ยงโรคเก๊าท์ง่ายๆ...เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรม
ในกรณีที่รู้ตัวว่าเป็นโรคเก๊าท์และทำการรักษาโดยการรับประทานยา ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง จนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่มีการตกตะกอนของกรดยูริก แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเก๊าท์ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ โดยสามารถป้องกันได้ดังนี้
โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่สามารถรักษาได้ หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง แต่ในทางกลับกันหากปล่อยไว้นอกจากจะมีอาการเป็นๆ หายๆ แล้ว ยังทำให้ยิ่งมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ ดังนั้นหากพบว่าตัวเองเสี่ยงหรือมีอาการสงสัยเกี่ยวกับโรคเก๊าท์ ควรพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันโรคเก๊าท์ได้ในอนาคต
บทความโดย
นายแพทย์กฤตเมธ อมรรักษา
แพทย์ประจำสาขากระดูกและข้อ
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ