กระดูกหัก (Bone Fracture) ปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการวินิจฉัยให้ถูกต้องและได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมา เช่น กระดูกติดผิดรูป การเคลื่อนไหวของอวัยวะนั้นลดลง หรือแม้แต่พิการ เป็นต้นซึ่งปัญหากระดูกหัก นี้เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทั่วไปที่อายุน้อยกระดูกยังคงมีความแข็งแรงของกระดูก สาเหตุที่พบบ่อยมักมาจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือตกที่สูงซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่เกิดจากความรุนแรง และในผู้กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความแข็งแรงของกระดูกที่น้อย และมีภาวะกระดูกพรุนร่วมด้วย ส่งผลให้กระดูกแตกหักได้ง่าย จากการใช้ชีวิตประจำวันปกติเช่นเดินแล้วลื่นล้ม อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ง่าย ทั้งนี้การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บของร่างกายได้หลายอย่าง เช่น กระดูกหักหรือเนื้อเยื่ออ่อนบาดเจ็บ
อาการที่ต้องสังเกตกรณีสงสัยกระดูกหัก
1. แขนหรือขาผิดรูป
2. ไม่สามารถขยับ หรือเคลื่อนไหว
อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บได้
3. มีเสียงดังกรอบแกรบบริเวณกระดูก (crepitance)
การรักษากระดูกหัก
แพทย์จะพิจารณาตามข้อบ่งชี้ของการรักษาของการหักของกระดูกนั้นๆ
ว่าควรรักษาเป็นไปในทางใด
1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
การรักษาแนวทางนี้ส่วนใหญ่ก็คือใช้วิธีการเข้าเฝือก
หรือ การ immobilization ของอวัยวะนั้นๆ
2. การรักษาแบบผ่าตัด
การผ่าตัดก็มีทั้งยึดตรึงกระดูกโดย
แผ่นเหล็ก(plate) หรือ แท่งเหล็กในกระดูก (nail) หรือแม้แต่การยึดตรึงกระดูกภายนอกโดยใช้แท่งเหล็ก(external
fixator) ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้วิธีการใดนั้นก็จะพิจารณาตามข้อบ่งชี้จากกระดูกที่หัก
โดยเฉพาะกรณีของการใช้แผ่นเหล็กยึดตรึงกระดูกในอดีต ต้องทำการเปิดแผลที่ใหญ่
และทำลายเนื้อเยื่อและเส้นเลือดที่มาเลี้ยงกระดูกนั้นๆ
ส่งผลเสียหลายอย่างตามมามากมาย อาทิเช่น กระดูกไม่สมานกัน หรือสมานกันได้ยาก (delayed
union or nonunion) หรือ
เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้จากการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆที่เยอะเกินความจำเป็น
ด้วยเหตุนี้
จึงมีแนวทางการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกแบบแผลเล็ก Minimally Invasive Plate
Osteosynthesis (MIPO) เป็นการยึดตรึงกระดูกหัก (Internal Fixation of Fractures) โดยมีวัสดุช่วยในการดามคือแผ่นเหล็ก (Plate and screw) โดยใช้เทคนิควิธีการเปิดบาดแผลเพื่อผ่าตัดเพียงเล็กน้อย
โดยเปิดแผลเฉพาะตำแหน่งที่มีความจำเป็น
สำหรับสอดแผ่นเหล็กเข้าไปใต้ชั้นกล้ามเนื้อเพื่อยึดตรึงกระดูกที่หักเท่านั้น โดยลดการทำลายกล้ามเนื้อ
และเนื้อเยื่ออื่นๆโดยเฉพาะเส้นเลือด โดยไม่จำเป็นทำให้บาดแผลมีขนาดเล็ก
บาดเจ็บน้อย ฟื้นตัวได้ไว
เมื่อเทียบกับการผ่าตัดชนิดเปิดบาดแผลโล่งตามขนาดความยาวของวัสดุที่ใช้ยึดตรึงกระดูกในแบบปกติ
เตรียมพร้อมป้องกัน ดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดกระดูกหัก
เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงอายุ 40 - 50 ปี ขึ้นไป การสะสมแคลเซียมในกระดูกเริ่มลดลงโดยธรรมชาติทำให้ความแข็งแรงของกระดูกเริ่มลดลง อาจส่งผลทำให้เกิดภาวะกระดูกบางหรือพรุนตามมาได้ ทำให้เพิ่มโอกาสมีความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักได้สูงขึ้น
ดังนั้น คนช่วงวัยนี้สามารถดูแลสุขภาพได้นอกเหนือจากการระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุและการออกกำลังกาย
ก็คือการเพิ่มปริมาณแคลเซียมทางร่างกายให้เหมาะสม
ก็จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกได้
วิธีการง่ายๆก็คือการรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ อย่างเพียงพอในทุกวัน
โดยเฉพาะ นมหรือผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ กระดูกปลาเล็กๆ
ซึ่งถือเป็นกลุ่มอาหารที่มีแคลเซียมสูง
หรือสามารถเลือกเสริมปริมาณแคลเซียม
และวิตามินดีซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
เพิ่มเติมได้