-
มะเร็งลำไส้น่ากลัวอย่างไร และทำไมถึงต้องรู้ทัน?
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
09-ธ.ค.-2567

มะเร็งลำไส้น่ากลัวอย่างไร และทำไมถึงต้องรู้ทัน?

มะเร็งลำไส้เป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมหาศาล และอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ว่าจะฟังดูน่ากลัว แต่การรู้ทันมะเร็งลำไส้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มสามารถช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายได้ และหากเราเข้าใจมะเร็งลำไส้ รู้วิธีป้องกัน รวมถึงการดูแลตัวเอง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น




มะเร็งลำไส้คืออะไร?

มะเร็งลำไส้ (Colorectal Cancer) คือภาวะที่เซลล์ในลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรง (Rectum) เจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้องอก หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษา เนื้องอกเหล่านี้อาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย การพัฒนาของมะเร็งลำไส้มักเริ่มต้นจากติ่งเนื้อเล็กๆ (Polyps) ในลำไส้ ซึ่งในระยะแรกอาจไม่มีอาการใดๆ ทำให้ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองมีความเสี่ยง จนมีอาการและเข้ารับการตรวจถึงพบว่าตนเองเป็นมะเร็งลำไส้ ทำให้ระยะของโรคดำเนินเข้าสู่ระยะลุกลาม ทำให้ยากต่อการรักษามากขึ้น

 

มะเร็งลำไส้น่ากลัวอย่างไร?

1. อาการมักแสดงช้าและคลุมเครือ : ในระยะแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการใดๆ หรืออาการที่แสดงอาจไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ท้องอืด ท้องผูก อุจจาระผิดปกติ หรือรู้สึกอ่อนเพลียเรื้อรัง

สัญญาณเตือนที่ควรระวัง :

  • อุจจาระมีเลือดปน หรือมีสีดำสนิท
  • ท้องผูกหรือท้องเสียต่อเนื่องโดยไม่มีสาเหตุ
  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • รู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ

2. ความร้ายแรงเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม : หากมะเร็งลำไส้ไม่ได้รับการรักษา เซลล์มะเร็งอาจกระจายไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ปอด หรือกระดูก ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย และทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตอย่างมาก

3. ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต : การรักษามะเร็งลำไส้อาจต้องใช้วิธีการที่กระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น การตัดลำไส้และใช้ถุงเก็บอุจจาระ การรักษาด้วยเคมีบำบัดที่มีผลข้างเคียงสูง หรือการผ่าตัดใหญ่ที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจ

 


มะเร็งลำไส้รักษาได้ หากพบเจอเร็ว!

การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

  1. การผ่าตัด (Surgery)

การผ่าตัดเป็นวิธีรักษาหลัก โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจาย โดยในปัจจุบันสามารถทำการผ่าตัดได้ด้วยวิธีการส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy) ซึ่งเป็นวิธีผ่าตัดที่เจ็บน้อย แผลเล็ก และฟื้นตัวไว ทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถกลับไปชีวิตประจำวันได้รวดเร็วขึ้น

  • การตัดติ่งเนื้อ (Polypectomy) : หากมะเร็งยังอยู่ในระยะของติ่งเนื้อ สามารถตัดออกได้ทันทีผ่านการส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy)
  • การตัดลำไส้บางส่วน : ใช้ในกรณีที่มะเร็งเริ่มลุกลาม โดยแพทย์จะตัดส่วนที่มีมะเร็งออก และต่อส่วนที่เหลือเข้าด้วยกัน

 

2. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังคงเหลือหลังการผ่าตัด หรือควบคุมการเติบโตของมะเร็งในระยะลุกลาม โดยวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย คือ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และผมร่วง ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยการดูแลเฉพาะทาง

 

3. การฉายรังสี (Radiation Therapy)

เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งอยู่ในบริเวณไส้ตรง โดยฉายรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งและลดขนาดก้อนเนื้อ

 

4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

การใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะจุด เช่น การยับยั้งการเติบโตของหลอดเลือดที่เลี้ยงเซลล์มะเร็ง วิธีนี้ช่วยลดผลข้างเคียงที่กระทบต่อเซลล์ปกติ

 

5. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

เป็นวิธีใหม่ที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง เหมาะกับผู้ป่วยบางรายที่มีลักษณะพันธุกรรมเฉพาะ




แค่รู้ทันมะเร็งลำไส้ ก็ห่างไกลจากความน่ากลัว

  • ตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ การส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy) เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งลำไส้ เพราะสามารถตรวจพบติ่งเนื้อและตัดออกก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้เป็นประจำ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเพิ่มผัก ผลไม้ และธัญพืชที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ลดอาหารที่มีไขมันสูงเนื้อแดง และอาหารแปรรูป รวมถึงดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และลดความเสี่ยงของการอักเสบ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ การควบคุมน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
  • ลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ลด ละ เลิกการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์

 

แม้มะเร็งลำไส้จะเป็นภัยเงียบที่ดูน่ากลัว แต่การรู้ทันและปฏิบัติตามวิธีป้องกันสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอย่าละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี เนื่องจากการคัดกรองสุขภาพโดยรวมก็สำคัญไม่แพ้กัน และเริ่มดูแลสุขภาพลำไส้ของคุณตั้งแต่วันนี้ เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นจากการป้องกัน มากกว่าการรักษาในวันที่สายไป

 

 

บทความโดย

นายแพทย์ อัครวุฒิ จันทราพิรัตน์

แพทย์ประจำอายุรกรรมทางเดินอาหาร

โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ




สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

แผนก อายุรกรรมระบบทางเดินอาหารและตับ
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร. 02-363-2000 ต่อ 2420-2421
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดี ๆ ได้ที่
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn