-
มะเร็งลำไส้น่ากลัวอย่างไร และทำไมถึงต้องรู้ทัน?
มะเร็งลำไส้เป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมหาศาล และอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ว่าจะฟังดูน่ากลัว แต่การรู้ทันมะเร็งลำไส้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มสามารถช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายได้ และหากเราเข้าใจมะเร็งลำไส้ รู้วิธีป้องกัน รวมถึงการดูแลตัวเอง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น
มะเร็งลำไส้คืออะไร?
มะเร็งลำไส้ (Colorectal Cancer) คือภาวะที่เซลล์ในลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรง (Rectum) เจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้องอก หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษา เนื้องอกเหล่านี้อาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย การพัฒนาของมะเร็งลำไส้มักเริ่มต้นจากติ่งเนื้อเล็กๆ (Polyps) ในลำไส้ ซึ่งในระยะแรกอาจไม่มีอาการใดๆ ทำให้ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองมีความเสี่ยง จนมีอาการและเข้ารับการตรวจถึงพบว่าตนเองเป็นมะเร็งลำไส้ ทำให้ระยะของโรคดำเนินเข้าสู่ระยะลุกลาม ทำให้ยากต่อการรักษามากขึ้น
มะเร็งลำไส้น่ากลัวอย่างไร?
1. อาการมักแสดงช้าและคลุมเครือ : ในระยะแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการใดๆ หรืออาการที่แสดงอาจไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ท้องอืด ท้องผูก อุจจาระผิดปกติ หรือรู้สึกอ่อนเพลียเรื้อรัง
สัญญาณเตือนที่ควรระวัง :
2. ความร้ายแรงเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม : หากมะเร็งลำไส้ไม่ได้รับการรักษา เซลล์มะเร็งอาจกระจายไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ปอด หรือกระดูก ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย และทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตอย่างมาก
3. ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต : การรักษามะเร็งลำไส้อาจต้องใช้วิธีการที่กระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น การตัดลำไส้และใช้ถุงเก็บอุจจาระ การรักษาด้วยเคมีบำบัดที่มีผลข้างเคียงสูง หรือการผ่าตัดใหญ่ที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจ
มะเร็งลำไส้รักษาได้ หากพบเจอเร็ว!
การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
การผ่าตัดเป็นวิธีรักษาหลัก โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจาย โดยในปัจจุบันสามารถทำการผ่าตัดได้ด้วยวิธีการส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy) ซึ่งเป็นวิธีผ่าตัดที่เจ็บน้อย แผลเล็ก และฟื้นตัวไว ทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถกลับไปชีวิตประจำวันได้รวดเร็วขึ้น
2. เคมีบำบัด (Chemotherapy)
ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังคงเหลือหลังการผ่าตัด หรือควบคุมการเติบโตของมะเร็งในระยะลุกลาม โดยวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย คือ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และผมร่วง ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยการดูแลเฉพาะทาง
3. การฉายรังสี (Radiation Therapy)
เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งอยู่ในบริเวณไส้ตรง โดยฉายรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งและลดขนาดก้อนเนื้อ
4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)
การใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะจุด เช่น การยับยั้งการเติบโตของหลอดเลือดที่เลี้ยงเซลล์มะเร็ง วิธีนี้ช่วยลดผลข้างเคียงที่กระทบต่อเซลล์ปกติ
5. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
เป็นวิธีใหม่ที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง เหมาะกับผู้ป่วยบางรายที่มีลักษณะพันธุกรรมเฉพาะ
แค่รู้ทันมะเร็งลำไส้ ก็ห่างไกลจากความน่ากลัว
แม้มะเร็งลำไส้จะเป็นภัยเงียบที่ดูน่ากลัว แต่การรู้ทันและปฏิบัติตามวิธีป้องกันสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอย่าละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี เนื่องจากการคัดกรองสุขภาพโดยรวมก็สำคัญไม่แพ้กัน และเริ่มดูแลสุขภาพลำไส้ของคุณตั้งแต่วันนี้ เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นจากการป้องกัน มากกว่าการรักษาในวันที่สายไป
บทความโดย
นายแพทย์ อัครวุฒิ จันทราพิรัตน์
แพทย์ประจำอายุรกรรมทางเดินอาหาร
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ