โรคไอกรน...ศัตรูเงียบของเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกต
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
03-ธ.ค.-2567

โรคไอกรน...ศัตรูเงียบของเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกต

โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่อาจดูเหมือนไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปกครองเพื่อการป้องกันและดูแลสุขภาพของลูกน้อยอย่างมีประสิทธิภาพ

 


โรคไอกรนคืออะไร และทำไมจึงเป็นอันตรายต่อเด็กเล็ก?

โรคไอกรน หรือ Whooping Cough เป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจอักเสบและเกิดการไอรุนแรง การไอจะเกิดขึ้นเป็นชุดๆ จนเกิดเสียง "วู๊ป" ที่เป็นเอกลักษณ์ของโรคนี้ ในเด็กเล็กการไอซ้ำๆ อาจทำให้หายใจไม่ทันและเกิดภาวะขาดออกซิเจน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

อาการของโรคไอกรนในเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องสังเกต

อาการไอกรนมีลักษณะเฉพาะที่พ่อแม่สามารถสังเกตได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

  • ระยะแรก (Catarrhal Stage) : มีน้ำมูก ไอเล็กน้อยและไข้ต่ำๆ อาการในระยะนี้คล้ายกับหวัดทั่วไป จึงมักถูกมองข้าม แต่เป็นช่วงที่มีการแพร่เชื้อสูง
  • ระยะไอเป็นชุดๆ (Paroxysmal Stage) : หลังจากอาการในระยะแรกไป 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มมีการไอรุนแรงเป็นชุด โดยไอติดต่อกันหลายครั้งจนเกิดเสียง "วู๊ป" ในเด็กเล็กมักมีหน้าซีดหรือเขียว เนื่องจากหายใจไม่ทัน อาจมีอาการอาเจียนหรือหยุดหายใจได้ในบางครั้ง
  • ระยะฟื้นตัว (Convalescent Stage) : หลังจากอาการรุนแรงที่สุด อาการไอจะค่อยๆ ลดลง แต่ยังคงไออยู่เป็นระยะเวลานาน

 


ทำไมเด็กเล็กจึงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่?

เด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอที่จะต่อสู้กับโรคนี้ นอกจากนี้ การที่ระบบทางเดินหายใจและปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เด็กอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ง่าย เช่น ปอดอักเสบ ขาดออกซิเจน หรือเกิดภาวะสมองบวมจากการไอซ้ำๆ ที่รุนแรง

 

“วัคซีนป้องกันโรคไอกรน” วิธีป้องกันโรคไอกรนที่ดีที่สุดสำหรับเด็กเล็ก

การป้องกันโรคไอกรนที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน DTP (คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก) โดยวัคซีนนี้มีกำหนดการฉีดหลายครั้ง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก

  • เริ่มฉีดครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 2 เดือน
  • ฉีดครั้งที่ 2 และ 3 เมื่ออายุ 4 และ 6 เดือน
  • ฉีดกระตุ้นครั้งที่ 4 เมื่ออายุ 18 เดือน และครั้งที่ 5 เมื่ออายุ 4-6 ปี

นอกจากนี้ การรักษาสุขอนามัย เช่น การล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการพาเด็กเข้าไปในที่แออัดหรือสถานที่ที่อาจมีการระบาดของโรค จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้

 


สิ่งที่พ่อแม่ควรทำเมื่อสงสัยว่าลูกอาจติดเชื้อไอกรน

หากลูกมีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการไอเป็นชุดจนหายใจไม่ทัน ควรพาไปพบแพทย์ทันที แพทย์อาจทำการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคและให้ยาปฏิชีวนะ หากรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ความรุนแรงของอาการจะค่อยๆ ลดลงและยังป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย

 

การปฏิบัติตัวเมื่อมีผู้ป่วยไอกรนในครอบครัว

หากมีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อไอกรน ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย โดยเฉพาะหากมีเด็กเล็กอยู่ในบ้าน การรักษาสุขอนามัยและการใช้หน้ากากอนามัยจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้ นอกจากนี้ ควรดูแลให้เด็กได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี และเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดการไอ เช่น ฝุ่น ควัน และอากาศที่แห้งหรือเย็นเกินไป

 

โรคไอกรนเป็นภัยเงียบที่อาจดูเหมือนอาการหวัดธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถพัฒนาเป็นอาการรุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก การใส่ใจอาการไอที่ผิดปกติและการได้รับวัคซีนครบถ้วนตั้งแต่แรกเกิดเป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เด็กปลอดภัยจากโรคนี้ และช่วยให้พ่อแม่มั่นใจว่าลูกเติบโตอย่างแข็งแรง

 

 

บทความโดย

แพทย์หญิงสุวรรณา บัวทองศรี 

แพทย์ประจำสาขากุมารเวชทั่วไป

โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ

 



สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม

แผนก กุมารเวชกรรม อาคาร 1 ชั้น 2
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร 02-363-2000 ต่อ 2209-2210
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆ ได้ที่

Facebook : Paolo Hospital Samutprakarn
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn