โรคไอกรน...ศัตรูเงียบของเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกต
โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่อาจดูเหมือนไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปกครองเพื่อการป้องกันและดูแลสุขภาพของลูกน้อยอย่างมีประสิทธิภาพ
โรคไอกรนคืออะไร และทำไมจึงเป็นอันตรายต่อเด็กเล็ก?
โรคไอกรน หรือ Whooping Cough เป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจอักเสบและเกิดการไอรุนแรง การไอจะเกิดขึ้นเป็นชุดๆ จนเกิดเสียง "วู๊ป" ที่เป็นเอกลักษณ์ของโรคนี้ ในเด็กเล็กการไอซ้ำๆ อาจทำให้หายใจไม่ทันและเกิดภาวะขาดออกซิเจน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการของโรคไอกรนในเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องสังเกต
อาการไอกรนมีลักษณะเฉพาะที่พ่อแม่สามารถสังเกตได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ทำไมเด็กเล็กจึงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่?
เด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอที่จะต่อสู้กับโรคนี้ นอกจากนี้ การที่ระบบทางเดินหายใจและปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เด็กอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ง่าย เช่น ปอดอักเสบ ขาดออกซิเจน หรือเกิดภาวะสมองบวมจากการไอซ้ำๆ ที่รุนแรง
“วัคซีนป้องกันโรคไอกรน” วิธีป้องกันโรคไอกรนที่ดีที่สุดสำหรับเด็กเล็ก
การป้องกันโรคไอกรนที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน DTP (คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก) โดยวัคซีนนี้มีกำหนดการฉีดหลายครั้ง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก
นอกจากนี้ การรักษาสุขอนามัย เช่น การล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการพาเด็กเข้าไปในที่แออัดหรือสถานที่ที่อาจมีการระบาดของโรค จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำเมื่อสงสัยว่าลูกอาจติดเชื้อไอกรน
หากลูกมีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการไอเป็นชุดจนหายใจไม่ทัน ควรพาไปพบแพทย์ทันที แพทย์อาจทำการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคและให้ยาปฏิชีวนะ หากรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ความรุนแรงของอาการจะค่อยๆ ลดลงและยังป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย
การปฏิบัติตัวเมื่อมีผู้ป่วยไอกรนในครอบครัว
หากมีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อไอกรน ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย โดยเฉพาะหากมีเด็กเล็กอยู่ในบ้าน การรักษาสุขอนามัยและการใช้หน้ากากอนามัยจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้ นอกจากนี้ ควรดูแลให้เด็กได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี และเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดการไอ เช่น ฝุ่น ควัน และอากาศที่แห้งหรือเย็นเกินไป
โรคไอกรนเป็นภัยเงียบที่อาจดูเหมือนอาการหวัดธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถพัฒนาเป็นอาการรุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก การใส่ใจอาการไอที่ผิดปกติและการได้รับวัคซีนครบถ้วนตั้งแต่แรกเกิดเป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เด็กปลอดภัยจากโรคนี้ และช่วยให้พ่อแม่มั่นใจว่าลูกเติบโตอย่างแข็งแรง
บทความโดย
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม
แผนก กุมารเวชกรรม อาคาร 1 ชั้น 2
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร 02-363-2000 ต่อ 2209-2210
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆ ได้ที่
Facebook : Paolo Hospital Samutprakarn
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn