-
อาการไหนที่บ่งบอกว่าใช่ “ภาวะไส้เลื่อน”
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
10-มิ.ย.-2567

อาการไหนที่บ่งบอกว่าใช่ “ภาวะไส้เลื่อน”

คำว่า “ไส้เลื่อน” มักเป็นคำที่ใครหลายคนเคยได้ยินกันมาตั้งแต่ตอนยังเด็ก แต่อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาวะนี้ซักเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วภาวะไส้เลื่อนเป็นภาวะที่ใครหลายคนมักประสบพบเจอ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุมากขึ้น ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะไส้เลื่อนได้ ดังนั้น เราจึงมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับ “ภาวะไส้เลื่อน” ให้ได้เข้าใจและรับมือกับมันได้อย่างถูกต้องหากเกิดขึ้นกับตนเองหรือบุคคลใกล้ตัวของท่าน

 


ทำความรู้จักกับ “ภาวะไส้เลื่อน”

ไส้เลื่อน (hernia) เป็นภาวะที่ลำไส้หรืออวัยวะในช่องท้องบางส่วนเลื่อนตัวออกมานอกช่องท้อง ผ่านผนังช่องท้องที่บอบบางหรืออ่อนแอ โดยตำแหน่งที่มักพบไส้เลื่อนได้บ่อย คือ บริเวณขาหนีบ สะดือ กระบังลม ผนังหน้าท้อง หรือแผลผ่าตัด โดยจะสังเกตเห็นเป็นลักษณะก้อนๆ ตุง นูนออกมาจากอวัยวะที่ไส้เลื่อน ซึ่งหากปล่อยไว้อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ เช่น ลำไส้อุดตัน หรือลำไส้ขาดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ชีวิต ซึ่งต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินเท่านั้น

 

ปัจจัยที่ส่งผลให้เสี่ยงต่อ...ภาวะไส้เลื่อน

  • อายุที่มากขึ้น เป็นสาเหตุให้อวัยวะต่างๆ เริ่มมีการเสื่อมลง รวมถึงความอ่อนแอของหนังหน้าท้องที่เป็นเหตุให้เกิดภาวะไส้เลื่อนได้
  • ความผิดปกติของผนังหน้าท้องแต่เดิม ซึ่งมักจะเริ่มมีอาการในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงาน

ทั้งนี้ยังรวมถึงแรงดันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมต่างๆ เช่น การยกของหนักหรือออกกำลังกายหนักๆ เป็นประจำ การเบ่งอุจจาระเป็นประจำเนื่องจากมีภาวะท้องผูก ต่อมลูกหมากโตทำให้ต้องเบ่งเมื่อปัสสาวะ หรือการไอเรื้อรัง เช่น การไอของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง หรือโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง

 


อาการแบบไหน...ที่บ่งบอกว่าเป็น “ไส้เลื่อน”

เมื่อเกิดภาวะไส้เลื่อนขึ้นกับผู้ป่วย ผู้ป่วยจะสามารถคลำได้ก้อนนูนๆ บริเวณที่เกิดโรค อาจมีอาการปวดหน่วงๆ ขณะที่มีก้อนยื่นออกมา โดยเฉพาะขณะก้มตัว ยกสิ่งของ และไอจาม ในบางกรณีหากมีอาการไม่มาก ผู้ป่วยสามารถดันถุงไส้เลื่อนให้กลับเข้าไปในช่องท้องได้

แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการโป่งของผนังหน้าท้อง ไม่สามารถดันไส้เลื่อนกลับเข้าช่องท้องได้ หรือรู้สึกถึงอาการปวดมากขึ้น อาจเป็นอาการของลำไส้บวมและขาดเลือด จนเกิดอาการเน่าทำให้ลำไส้ตาย และติดเชื้อในกระแสเลือดในที่สุด

 

วิธีการตรวจวินิจฉัยภาวะไส้เลื่อน

การตรวจวินิจฉัยสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไส้เลื่อน จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้เลื่อน เช่น หากเป็นที่ตำแหน่งผนังหน้าท้องอาจใช้เพียงการตรวจร่างกายเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในกรณีที่มีภาวะไส้เลื่อนในบริเวณที่มองไม่เห็นหรือคลำจากภายนอกไม่พบ อาจจำเป็นต้องรับการตรวจด้วยวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือวิธีการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร เพื่อให้เห็นอวัยวะภายในที่มีภาวะไส้เลื่อนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

 


รักษาภาวะไส้เลื่อนให้หายได้...ด้วยการผ่าตัด

ในปัจจุบันการรักษาหลักสำหรับภาวะไส้เลื่อน คือ การผ่าตัด ในส่วนของการรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัด จะเป็นการรักษาสำหรับก้อนนูนที่มีขนาดเล็กและผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ เพื่อเฝ้าดูอาการและระวังภาวะแทรกซ้อน ซึ่งใช้กับผู้ป่วยในบางรายเท่านั้น แต่ในวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัด จะเป็นการรักษาสำหรับไส้เลื่อนที่มีขนาดใหญ่ แพทย์จะแนะนำให้รักษาโดยวิธีการผ่าตัด ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการผ่าตัดได้เป็น 2 วิธี คือ

  1. การผ่าตัดด้วยวิธีเปิดหน้าท้อง (Open Surgery) : เป็นวิธีการผ่าตัดเพื่อเปิดผิวหนังหน้าท้อง เพื่อดันไส้เลื่อนที่เคลื่อนออกมา ให้กลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงทำการใส่วัสดุสังเคราะห์ลักษณะคล้ายตาข่าย (surgical mesh) เพื่อเสริมความแข็งแรงและป้องกันภาวะไส้เลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม และเย็บปิดแผล โดยวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ทำให้มีแผลขนาดใหญ่ และอาจมีอาการเจ็บแผลมากกว่าการผ่าตัดด้วยวิธีการส่องกล้อง
  2. การผ่าตัดด้วยวิธีการส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) : เป็นการผ่าตัดโดยการเจาะรูขนาดเล็กจำนวน 3 - 4 รู ที่ผิวหนังหน้าท้อง เพื่อนำอุปกรณ์การผ่าตัดเข้าไปทำการนำไส้เลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเดิม และใส่วัสดุสังเคราะห์ลักษณะคล้ายตาข่าย (surgical mesh) เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่ทำให้ไส้เลื่อนเคลื่อนที่ออกมา ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะทำให้มีรอยแผลจากการผ่าตัดขนาดเล็กมาก ทำให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีอาการเจ็บแผลน้อยลง ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด และผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง และฟื้นตัวเร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง

 

วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัดไส้เลื่อน

  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • งดออกกำลังกายหนักๆ ที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหน้าท้องในช่วง 1 เดือนแรก
  • หลีกเลี่ยงการไอหรือจามรุนแรงจนเกินไป
  • ในผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ ควรลดน้ำหนักเพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑืที่เหมาะสม

 


ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนเป็นไส้เลื่อน

  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้ตัวเองเกิดภาวะอ้วน
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืช ให้มากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการยกของที่มีน้ำหนักมาก หรือหากจำเป็นต้องยกให้ย่อเข่าแล้วยกขึ้น ไม่ก้มตัวลงไปยก
  • หลีกเลี่ยงการไอหรือจามที่รุนแรง หากมีอาการไอเรื้อรัง ควรรักษาให้หายขาด
  • งดสูบบุหรี่ เนื่องจากเป็นสาเหตุของอาการไอได้

 

การเป็นไส้เลื่อน ไม่ควรละเลยและปล่อยไว้อย่างนั้น เนื่องจากหากปล่อยไว้อาจทำให้มีอาการที่รุนแรง และยากต่อการรักษาให้หายขาด รวมถึงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

สิ่งสำคัญคือเมื่อคลำได้ก้อนหรือรู้สึกว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะไส้เลื่อน ควรเข้ารับการตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง และป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

บทความโดย
นายแพทย์
กำพล เติมอัครถาวร

แพทย์ประจำสาขาศัลยกรรมทั่วไป
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ



สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม

แผนก ศัลยกรรมทั่วไป อาคาร 1 ชั้น 1
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร 02-363-2000 ต่อ 2145-2146

รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆ ได้ที่
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn