-
นิ่วในถุงน้ำดี...น่ากลัวกว่าที่คิด
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
28-ก.พ.-2566

นิ่วในถุงน้ำดี...น่ากลัวกว่าที่คิด
นิ่วในถุงน้ำดี หนึ่งในโรคระบบทางเดินอาหารที่มีอันตรายถึงชีวิต หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ซึ่งนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้ที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดีส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบว่าตัวเองเป็น หรือจะมาพบแพทย์ก็ต่อเมื่อมีอาการที่เริ่มรุนแรงแล้ว เนื่องจากนิ่วในถุงน้ำดีในบางรายอาจไม่แสดงอาการหรือมีสัญญาณเตือนใดๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยรู้ตัวล่วงหน้า ทำให้พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่านิ่วในถุงน้ำดีเริ่มลุกลามหรือมีการอักเสบที่รุนแรงแล้ว

โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ จึงอยากมาให้ความรู้เกี่ยวกับ นิ่วในถุงน้ำดี เพื่อที่เราจะได้รู้เท่าทันโรคนี้มากยิ่งขึ้น

 


นิ่วในถุงน้ำดี เกิดขึ้นได้อย่างไร?

การเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของสารเคมีในร่างกายอย่างคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี รวมถึงการติดเชื้อบริเวณถุงน้ำดี ส่งผลให้เกิดการตกตะกอนผลึกในถุงน้ำดี ซึ่งการตกผลึกนี่เองที่เป็นสาเหตุให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี โดยก้อนนิ่วที่อยู่ในถุงน้ำดีสามารถมีขนาดได้ตั้งแต่ก้อนเท่าเม็ดทราย ไปจนถึงก้อนเท่าลูกกอล์ฟ และจำนวนของก้อนนิ่วในถุงน้ำดีก็มีได้ตั้งแต่ก้อนเดียวไปจนถึงหลักพันก้อน

 

ใครบ้างเสี่ยงเป็น...นิ่วในถุงน้ำดี

  • ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • ผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีภาวะอ้วน มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ ส่งผลให้คอเลสเตอรอลเกิดความไม่สมดุลในน้ำดี และการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง
  • ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ
  • ผู้ที่บุคคลในครอบครัวเคยมีประวัติการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย
  • ผู้ที่ลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเกิดเสียสมดุลของคอเลสเตอรอล
  • ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน
  • ผู้ที่ทานยาลดไขมันในเลือดบางชนิด ส่งผลให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ตั้งครรภ์บ่อย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์
  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

 

สัญญาณเตือนหรืออาการของ “นิ่วในถุงน้ำดี”

โรคนิ่วในถุงน้ำดี มักจะไม่มีอาการแสดงที่แน่ชัด หากไม่เกิดการอักเสบเฉียบพลันหรือเกิดการติดเชื้อใดๆ ในถุงน้ำดี แต่เราสามารถสังเกตสัญญาณเตือนที่สามารถบ่งบอกถึงอาการของนิ่วในถุงน้ำดีได้ ดังนี้

  • มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง หรือรู้สึกอาหารไม่ย่อย
  • รู้สึกปวดจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ หรือบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา
  • รู้สึกปวดร้าวบริเวณกระดูกสะบัก หรือบริเวณหัวไหล่ และหลังด้านขวา
  • มีอาการอาเจียน หรือคลื่นไส้ร่วมด้วย

อาการเหล่านี้อาจแสดงหลายๆ อย่างร่วมกัน แต่อาจไม่แสดงครบทุกอาการ ซึ่งอาการดังที่กล่าวมักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารมันๆ หรือช่วงเวลากลางคืน และมักเกิดขึ้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นอาการจะหายไป มีการทิ้งระยะไปสักพักแล้วจึงกลับมาเป็นอีก

 


นิ่วในถุงน้ำดี เป็นแล้วหายเองได้หรือไม่?

นอกจากอาการที่กล่าวมาข้างต้น หากเกิดนิ่วในถุงน้ำดีแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ก็อาจส่งผลให้อาการมีระดับที่รุนแรงขึ้น หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เนื่องจากก้อนนิ่วในถุงน้ำดีไม่ได้หายไปไหน แต่จะยิ่งมีการสะสมก้อนนิ่วมากขึ้นเรื่อยๆ ในถุงน้ำดี และก่อให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน หรือติดเชื้อได้ทุกเมื่อ ซึ่งอาการก็จะรุนแรงกว่า โดยสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้

  • มีอาการคล้ายกับตอนที่ยังไม่รุนแรง แต่จะมีอาการยาวนานมากยิ่งขึ้นเป็น 4-6 ชั่วโมง ทั้งอาการยังไม่ดีขึ้นหลังผ่านเวลาไปแล้วด้วย
  • มีอาการปวดรุนแรงใต้ลิ้นปี่ หรือบริเวณใต้ชายโครงขวา
  • มีอาการปวดบิดๆ บริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นพักๆ
  • มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)
  • ปัสสาวะมีสีเข้ม
  • อุจจาระมีสีซีด หรือขาว
  • ผู้ป่วยจะขยับตัวไม่ได้มาก เนื่องจากหากขยับจะมีอาการปวดมาก
  • มีไข้ มีอาการหนาวสั่น และรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ร่วมกับอาการข้างต้น

เนื่องจากก้อนนิ่วในถุงน้ำดีไม่สามารถหายเองได้ หากพบอาการที่กล่าวมาทั้งหมดร่วมกันหลายๆ อาการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา เพราะหากตรวจพบเร็วการรักษาก็สามารถทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งก้อนนิ่วในถุงน้ำดีหากมีขนาดใหญ่มากอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้

 

อัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบน...วิธีนี้ดีอย่างไร?

ก่อนที่จะเข้ารับการรักษา แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยอาการเพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยการตรวจวินิจฉัยแพทย์จะทำการซักประวัติ อาการ ทำการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และทำการอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบน ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถเห็นรายละเอียดภายในถุงน้ำดีได้อย่างชัดเจนว่ามีก้อนนิ่วอยู่หรือไม่ หรือมีลักษณะเป็นอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจของแพทย์ในการวางแผนการรักษา

 

ป็น “นิ่วในถุงน้ำดี” จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่?

หากตรวจพบก้อนนิ่วในถุงน้ำดี จะไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการใช้เครื่องสลายนิ่วได้ เนื่องจากนิ่วในถุงน้ำดีเป็นนิ่วที่เกิดขึ้นคนละชนิดกับนิ่วที่เกิดขึ้นในไตและทางเดินปัสสาวะ การรักษาจึงจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อนำถุงน้ำดีและนิ่วออกเท่านั้น โดยมีวิธีดังต่อไปนี้

การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง : เป็นการผ่าเปิดบริเวณช่องท้องด้านชายโครงขวา โดยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอักเสบขั้นรุนแรง หรือถุงน้ำดีแตกทะลุในช่องท้อง และเคยผ่าตัดทางหน้าท้องมาก่อน เพราะอาจมีพังผืดมากทำให้รักษาด้วยวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องไม่ได้

การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดผ่านกล้อง : เป็นการเจาะรูเล็กๆ บริเวณหน้าท้อง ประมาณ 3-5  รู เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือผ่านรูผนังหน้าท้อง โดยวิธีนี้เป็นวิธีที่แพทย์จะสามารถเห็นอวัยวะภายในได้อย่างชัดเจน ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งการรักษาด้วยวิธีนี้ยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันอีกด้วย เนื่องจากจะมีเพียงแผลเล็กๆ เจ็บน้อย และพักฟื้นไม่นานก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

ไม่มีถุงน้ำดีแล้ว...จะมีน้ำดีอยู่หรือไม่?

แม้การรักษาด้วยการผ่าตัดจะเป็นการนำถุงน้ำดีออก แต่แท้จริงแล้วถุงน้ำดีเป็นเพียงที่กักเก็บน้ำดีเพื่อให้พร้อมสำหรับย่อยไขมันเท่านั้น อวัยวะที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำดีคือ ตับ ดังนั้น หากไม่มีถุงน้ำดีแล้วก็ยังสามารถมีน้ำดีเพื่อใช้สำหรับย่อยไขมันอยู่นั่นเอง

 


ลดความเสี่ยง...แค่เปลี่ยนพฤติกรรม

  • ควบคุมอาหาร โดยการเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของมัน ของทอด ของหวาน และอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ รวมถึงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากการทานอาหารที่มีไขมันอยู่มากเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้
  • ควบคุมน้ำหนัก โดยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อรักษาระดับคอเลสเตอรอล ระดับน้ำตาลในเลือด และระดับไขมันในเลือด
  • ไม่ควรใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วยวิธีการอดอาหาร หรือวิธีที่ทำให้น้ำหนักลดเร็วเกินไป แต่ควรที่จะใช้วิธีการคุมอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกาย
  • ควรหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจหาความผิดปกติในร่างกาย หากตรวจพบได้ไวก็สามารถที่จะรักษาและป้องกันภาวะฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที
  • ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากพบควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติให้แน่ชัด

 

ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี หากไม่มีอาการปวดมักพบโดยบังเอิญจากการมาตรวจร่างกายโดยการอัลตร้าซาวด์ แต่ถ้าหากมีอาการปวดหรืออักเสบมาก่อน เมื่อมาพบแพทย์ก็จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

 
บทความโดย
แพทย์หญิงศศพินทุ์ วงษ์โกวิท
แพทย์ประจำสาขาศัลยกรรมทั่วไป
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ



สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม

แผนก ศัลยกรรมทั่วไป อาคาร 1 ชั้น 1
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร 02-363-2000 ต่อ 2145-2146

รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆ ได้ที่
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn