-
4 โรคยอดฮิตในเด็ก ที่มากับหน้าฝน
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ลูกน้อยของเราก็มักเจ็บป่วยบ่อยขึ้น เนื่องจากฤดูนี้มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศค่อนข้างมากในแต่ละวัน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหนาว และพอฝนตกอากาศก็จะเย็นลง มีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี ดังนั้น การรู้เท่าทันโรคร้ายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่พร้อมรับมือ และช่วยปกป้องลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคที่มากับหน้าฝนได้ดีขึ้น
อาการของโรค : อาการจะคล้ายกับโรคไข้หวัดธรรมดาแต่จะรุนแรงมากกว่า โดยจะมีไข้สูงกว่า หรือมีไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น คัดจมูก ไอ โดยส่วนมากจะไอแห้ง เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ทั้งยังมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ได้ง่าย ซึ่งหากอาการรุนแรงก็ทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้
การป้องกันโรค : ควรใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ ล้างมือบ่อยๆ และฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยเด็กสามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งในเด็กที่อายุ 6 เดือนถึง 9 ปี ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาก่อน จะให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน หลังจากนั้นจึงเป็นปีละ 1 เข็ม เด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ควรหยุดพักรักษาตัวที่บ้าน งดไปโรงเรียน เพื่อลดการแพร่เชื้อ
อาการของโรค : มักจะมีไข้สูงลอย (39-40 องศาเซลเซียส) 3-7 วัน หน้าแดง มีผื่นแดง ไม่ค่อยไอ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีภาวะเลือดออกง่าย หากมีอาการรุนแรงมักจะมีอาการปวดท้อง อาเจียน ไม่กินอาหารร่วมด้วย ถ้าเกิดในเด็กเล็กอาจมีไข้สูงและชักได้
การป้องกันโรค : สามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด ติดมุ้งลวดประตูหน้าต่าง ใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาว และกำจัดแหล่งน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย โดยปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก แต่แนะนำให้ฉีดเฉพาะรายที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนแล้ว ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับวัคซีน
อาการของโรค : เด็กจะมีอาการไข้สูง อ่อนเพลีย หลังจากนั้น 2-3 วันจะเกิดตุ่มน้ำใสบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ปากหรือกระพุ้งแก้ม และก้น อีกทั้งยังเกิดแผลร้อนในหลายแผลในปาก ทำให้เด็กไม่อยากกินอาหารหรือน้ำ เนื่องจากเจ็บแผลบริเวณปาก อาการจะดีขึ้นใน 3-5 วันถัดมา หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะดีขึ้นและมักจะหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดอาการแทรกซ้อนซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้
การป้องกันโรค : หลีกเลี่ยงการคลุกคลีหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย และแยกใช้ภาชนะร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือ หรือทำความสะอาดของเล่นที่เด็กจับบ่อยๆ โดยปัจจุบันมีวัคซีนป้องกัน Enterovirus 71 ซึ่งเป็นไวรัสตัวหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก จากไวรัสที่มีอยู่หลายชนิดที่ก่อให้เกิดโรคนี้ แต่เนื่องจากวัคซีนมีราคาสูงจึงยังไม่เป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน
อาการของโรค : เนื่องจากอาการของไวรัส RSV จะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่มักแยกความต่างระหว่าง 2 โรคนี้ไม่ค่อยออก แต่ข้อแตกต่างระหว่างโรคนี้ดูได้จากอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก และไอหนักมากๆ ให้สันนิษฐานว่าอาจเป็นไวรัส RSV ได้
การป้องกันโรค : ปัจจุบันยังไม่มียารักษาการติดเชื้อไวรัส RSV ที่จำเพาะ และยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค จำเป็นต้องอาศัยการป้องกันการติดเชื้อ โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อจากผู้ป่วย เช่น สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด
โรคติดเชื้อ เราสามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงได้ด้วยการไม่ไปในสถานที่ที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ หมั่นทำความสะอาดที่อยู่อาศัยและสิ่งของต่างๆ ในบ้าน พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง หากจำเป็นต้องออกไปนอกบ้านให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการรับเชื้อ และเมื่อกลับมาถึงบ้านให้รีบอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเครื่องแต่งหาย และทำตัวให้แห้งไว้เสมอ
บทความโดย
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม
แผนก กุมารเวชกรรม อาคาร 1 ชั้น 2
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร 02-363-2000 ต่อ 2209-2210
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆ ได้ที่
Facebook : Paolo Hospital Samutprakarn
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn