-
โรคงูสวัด...ภาวะอันตรายเมื่อร่างกายอ่อนแอ
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
10-ก.ค.-2567

โรคงูสวัด...ภาวะอันตรายเมื่อร่างกายอ่อนแอ

โรคงูสวัด แม้จะเคยได้ยินชื่อนี้มากันมาก แต่ก็มีไม่น้อยที่รู้จักเพียงแค่ชื่อ ไม่รู้ถึงความอันตรายและร้ายแรงของโรคนี้ อีกทั้งยังเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในผู้สูงอายุอันดับต้นๆ อีกด้วย อีกทั้ง โรคนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่มันยังสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่อ่อนแอ

 


อะไรคือ “โรคงูสวัด” ?

โรคงูสวัด (Herpes Zoster) เป็นโรคทางผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่เรียกว่า Varicella Zoster Virus หรือ VZV ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส (Chickenpox) หากติดเชื้อตัวนี้ในเด็กจะทำให้เกิดโรคที่เคยได้ยินกันมาอย่าง “อีสุกอีใส” ซึ่งเมื่อหายจากโรคนี้แล้ว เชื้อที่ได้รับจะยังไม่หายไปแต่จะแฝงตัวอยู่ในร่างกาย รอวันที่ร่างกายอ่อนแอลงหรือภูมิค้มกันต่ำลง อาการจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้งได้โดยเรียกกันว่า “โรคงูสวัด”

ซึ่งสาเหตุที่โรคงูสวัดมักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ มักเป็นเพราะเมื่ออายุของเรามากขึ้น ร่างกายของคนเราก็จะยิ่งถดถอยลง มีภูมิคุ้มกันที่ต่ำลง ทำให้ตัวเชื้อไวรัสมีอาการกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมักพบโรคนี้ในผู้สูงอายุ

 

ผื่นแดงกับตุ่มใสพร้อมอาการคัน...อาจเป็นสัญญาณของโรคงูสวัด

เมื่อผู้ป่วยได้รับไวรัสหรือมีอาการของโรคกำเริบออกมา จะส่งผลให้มีอาการแสดงดังนี้

  1. มีอาการคัน และปวดแสบ ปวดร้อนบริเวณผิวหนังก่อนที่ผื่นแดงจะขึ้นในเวลาต่อมา
  2. มีผื่นสีแดงขึ้น พร้อมมีตุ่มใสขึ้นเป็นแนวยาว โดยกลุ่มผื่นพวกนี้จะขึ้นเป็นแนวตามเส้นประสาท จะไม่เหมือนกับโรคอีสุกอีใสที่จะขึ้นทั่วร่างกาย ซึ่งหลังจากที่มีตุ่มใสโผล่ขึ้นมา เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ตุ่มใสจะแตกออกเป็นแผล และตกสะเก็ด
  3. ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  4. มีไข้ขึ้น
  5. รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย

ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของงูสวัดแบบหลบใน ซึ่งจะมีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนังตามแนวเส้นประสาท แต่จะไม่มีผื่นแดงและตุ่มใสขึ้น หากพบกรณีนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัด

                 นอกเหนือจากอาการผื่นแดงหรือมีตุ่มใสแล้ว ในผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคงูสวัดอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ โดยมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งอาจมีอาการเหล่านี้

  1. อาการปวดตามแนวเส้นประสาทที่ยังคงอยู่ แม้ว่าอาการของโณคงูสวัดจะหายดีแล้ว แต่ผู้ป่วยจะยังรู้สึกเจ็บปวดตามแนวเส้นประสาทอยู่อาจนานเป็นเดือน ปี หรืออาจเป็นตลอดชีวิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้
  2. การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง แผลพุพองที่มาจากผื่นของโรคงูสวัดสามารถเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้แผลอักเสบและมีหนอง
  3. หากมีผื่นขึ้นที่บริเวณใบหน้าหรือใกล้ดวงตาแล้วเกิดการติดเชื้อขึ้น อาจส่งผลให้มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาแดง ตาบวม หรืออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นตาบอด
  4. หากมีผื่นขึ้นที่บริเวณใบหูแล้วเกิดการลุกลาม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหูได้ เช่น สูญเสียการได้ยิน เวียนศีรษะ หรือปัญหาด้านการทรงตัว
  5. ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่รุนแรง เช่น เกิดการอักเสบของสมองหรือไขสันหลัง

 

ทำไมหายจากโรคงูสวัดแล้ว ยังมีอาการปวดอยู่?

                หลังจากที่อาการผื่นแดงและตุ่มใสของโรคงูสวัดได้ตกสะเก็ดและหายดีแล้ว ผู้ป่วยบางรายอาจยังรู้สึก มีอาการเจ็บปวดตามเส้นประสาทอยู่ เนื่องจากในระหว่างที่ผู้ป่วยเป็นโรคงูสวัด ร่างกายจะเกิดอาการ “ภาวะเส้นประสาทอักเสบ” ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของเส้นประสาท โดยอาจใช้ระเวลาเป็นเดือน หรือในบางรายอาจยังมีอาการเจ็บต่อเนื่องเป็นปี

 


วิธีการรักษาหากเป็นโรคงูสวัด

การรักษาโรคงูสวัด แพทย์จะใช้การรักษาโดยขึ้นอยู่กับอาการ โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการลุกลามจากเชื้อไวรัส รวมถึงให้ยาแก้ปวด ยากแก้อักเสบ หรือยาแก้คัน เพื่อรักษาให้อาการผื่นคันยุบตัวและหายเร็วขึ้น แต่ในผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วยเพื่อลดความรุนแรงของโรค

นอกจากนี้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคงูสวัดจะต้องหมั่นสังเกตอาการและดูแลตัวเองเพื่อรักษาอาการเบื้องต้น โดยสามารถปฏิบัติตัวได้ดังนี้

  • ทำความสะอาดแผลเบาๆ ด้วยน้ำสบู่และน้ำเปล่า
  • หลีกเลี่ยงการเกาหรือถูแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือผ้าขนหนูแช่น้ำเย็นประคบบริเวณที่มีผื่นเพื่อลดอาการคันและปวด
  • ทาครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของ calamine เพื่อบรรเทาอาการคัน
  • หลีกเลี่ยงการถูกแดดจัดหรือความร้อนจัด ซึ่งอาจทำให้อาการผื่นแย่ลง
  • หลีกเลี่ยงการเป่าหรือพ่นยาลงบนแผล เนื่องจากอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ปิดแผลด้วยผ้าพันแผลสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

 

“โรคงูสวัด” แม้จะรู้ถึงสาเหตุและแนวทางการรักษาของโรค แต่การป้องกันการเกิดโรคย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด นั่นคือการได้รับ “วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด” ซึ่งเป็นทางเลือกที่สำคัญและได้ผลดีในการป้องกัน ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นโรคเรื้อรัง ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือภูมิคุ้มกันต่ำ และผู้ที่ยังไม่เคยรับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด โดยแพทย์แนะนำในผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด รวมถึงผู้ที่เคยเป็นโรคงูสวัดแล้วก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนด้วยเช่นกัน

              นอกจากนี้การหมั่นดูแลตัวเองอย่างถูกต้องให้แข็งแรงก็สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรค หรือหากเกิดโรคงูสวัดก็จะสามารถลดความรุนแรงของอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้

 

บทความโดย
นายแพทย์ณัฏฐ์ บุญตะวัน
แพทย์ประจำสาขาอายุรกรรม
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ




สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
แผนก อายุรกรรมทั่วไป
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร. 02-363-2000 ต่อ 2390-2393
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดี ๆ ได้ที่
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn