-
เปิดใจรู้จัก “โรคแพนิค” กับความหวาดกลัวที่มองไม่เห็น
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
18-พ.ย.-2567

เปิดใจรู้จัก “โรคแพนิค” กับความหวาดกลัวที่มองไม่เห็น

หากคุณกำลังรู้สึกตื่นตระหนกหรือหัวใจเต้นรัวโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นอาจหมายถึงคุณกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "โรคแพนิค" ซึ่งเป็นภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดอาการวิตกกังวลหรือตื่นกลัวอย่างรุนแรงและฉับพลัน โรคนี้ไม่ใช่แค่ "ความวิตกกังวลธรรมดา" แต่มันเป็นอาการที่สามารถส่งผลกระทบทางจิตใจได้อย่างมาก การทำความเข้าใจและหาวิธีรับมือกับโรคแพนิคอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามความกลัวนั้นไปได้

 


“โรคแพนิค” คืออะไร...เป็นแล้วน่ากลัวไหม?

โรคแพนิค (Panic Disorder) คือภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดอาการตกใจ วิตกกังวล หรือรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงแบบทันทีทันใด โดยไม่มีสาเหตุชัดเจนหรือเรื่องที่ให้ต้องตกใจ มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและส่งผลให้ร่างกายและจิตใจเกิดความไม่สมดุล ซึ่งอาจทำให้คนที่ประสบกับอาการนี้รู้สึกหวาดกลัวสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรง หรือถึงขั้นคิดว่าตัวเองกำลังพบเจอกับอะไรร้ายแรงถึงขั้นชีวิต

 

อาการจาก “โรคแพนิค” เป็นแบบไหน?

อาการของโรคแพนิคมักเกิดขึ้นแบบฉับพลัน อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและมักมาพร้อมกับลักษณะอาการที่หลากหลาย โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงหรือเต้นผิดจังหวะ
  • เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือหรือเท้า
  • รู้สึกหนาวสั่นหรือร้อนรุ่ม อาจเกิดขึ้นสลับกัน
  • หายใจไม่อิ่ม รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง อึดอัด
  • รู้สึกเหมือนจะหมดสติ วิงเวียนศีรษะหรือเห็นภาพลาย
  • รู้สึกกลัวว่าจะตาย หรือกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงกับตนเอง
  • มีอาการชาและรู้สึกเสียวปลายมือปลายเท้า

อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมๆ กันภายในไม่กี่นาทีและอาจกินเวลานานถึง 10-20 นาที โดยบางครั้งอาจเกิดซ้ำอีกครั้งโดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า

 


สาเหตุหรือสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคแพนิค

โรคแพนิคสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท ซึ่งปัจจัยที่พบได้บ่อยอาจรวมถึง

  1. พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคแพนิค มักมีความเสี่ยงที่จะพบกับอาการนี้มากกว่าคนทั่วไป
  2. ความเครียดเรื้อรัง การเผชิญกับเหตุการณ์ที่กดดันหรือการมีภาวะเครียดสะสม เช่น การทำงานหนัก การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ในชีวิต หรือการสูญเสียบุคคลสำคัญ ความกลัวเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการแพนิคได้ง่ายขึ้น
  3. ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง การทำงานของสารสื่อประสาทบางชนิดที่ผิดปกติไปอาจทำให้สมองตอบสนองต่อความเครียดได้ไวและรุนแรงเกินกว่าปกติ
  4. ปัจจัยทางจิตใจ ผู้ที่มีประสบการณ์เผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจกลัว อาจทำให้เกิดอาการแพนิคในภายหลัง
  5. โรคทางกายบางประเภท บางครั้งอาการแพนิคอาจเป็นผลกระทบมาจากโรคอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้มีอาการที่คล้ายคลึงกัน

 

วิธีการจัดการและรับมือกับโรคแพนิค

แม้ว่าโรคแพนิคจะเป็นอาการที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจน แต่การเรียนรู้วิธีจัดการอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความรุนแรงของอาการได้ การรักษาโรคแพนิคสามารถทำได้หลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งมีวิธีการหลักๆ ดังนี้

  1. การรักษาด้วยยา : แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาที่ช่วยควบคุมการทำงานของสมองเพื่อลดอาการ โดยยาที่ใช้รักษาโรคแพนิคส่วนใหญ่มักเป็นยากลุ่มยากล่อมประสาท (Benzodiazepines) หรือยากลุ่มยาต้านซึมเศร้า (SSRIs) โดยยากลุ่มนี้จะช่วยควบคุมอาการของโรค ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสงบมากขึ้น

  1. การบำบัดทางจิตวิทยา :
  1. การบำบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม (CBT) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคแพนิค โดยจะเน้นการฝึกฝนให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความกลัวได้อย่างมีเหตุผลและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของความกลัวและความกังวล
  2. การบำบัดด้วยการฝึกการหายใจและการผ่อนคลาย ช่วยลดอาการทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดแพนิค เช่น การฝึกหายใจลึกๆ และการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

  1. การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต :
  1. การออกกำลังกายเป็นประจำ การทำกิจกรรมที่เสริมสร้างสุขภาพ เช่น การวิ่ง การฝึกโยคะ หรือการทำสมาธิ จะช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเคมีในสมองที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น สามารถลดความเครียดและความกังวล ทำให้จิตใจสงบขึ้นได้
  2. การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน การสูบบุหรี่ หรือการใช้สารเสพติดต่างๆ

 


ลบความเชื่อผิดๆ ของ “โรคแพนิค” และขอความช่วยเหลืออย่างถูกต้อง

ผู้ที่ประสบกับอาการแพนิค ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาอ่อนแอหรือไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ โรคแพนิคเป็นภาวะที่สามารถรักษาได้ด้วยการรับการรักษาและการสนับสนุนที่เหมาะสมและถูกต้อง การปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อหาทางออกและรับวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

การเปิดใจยอมรับว่าตนเองกำลังประสบกับโรคแพนิคและยอมรับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิต ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญต่อการฟื้นฟูและการเอาชนะความกลัวในใจของตนเอง “อย่าปล่อยให้อาการแพนิคกลายเป็นข้อจำกัดในชีวิตของคุณ”

 

โรคแพนิคเป็นภาวะที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่างๆ จนทำให้ชีวิตเกิดข้อจำกัด การเรียนรู้ที่จะรับมือกับอาการและการหาความช่วยเหลือจากแพทย์และนักจิตวิทยาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ในการช่วยให้คุณก้าวผ่านความกลัวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ดังนั้น หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการแพนิค ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และมีความสุขมากขึ้นได้

 

 

บทความโดย
นายแพทย์ณัฐวุฒิ สุมาลัย 
แพทย์ประจำสาขาอายุรกรรม
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ




สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
แผนก อายุรกรรมทั่วไป
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร. 02-363-2000 ต่อ 2390-2393
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดี ๆ ได้ที่
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn