ลูกน้ำมูกไหลบ่อย ไอ จาม ซ้ำ ๆ ทุกเช้า... พ่อแม่หลายคนอาจคิดว่าเป็น “แค่หวัด” แต่ความจริงแล้ว อาการเหล่านี้อาจเป็น “ภูมิแพ้ในเด็ก” ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจาก “ภูมิคุ้มกันที่ไวเกิน”
การแยกอาการภูมิแพ้เด็กกับไข้หวัดให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ลูกได้รับการรักษาที่ตรงจุด ป้องกันการใช้ยาผิดประเภท และลดความเสี่ยงที่จะเรื้อรังจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน
.jpg)
ภูมิแพ้ในเด็ก ปัญหาสุขภาพที่เจอได้บ่อยมากขึ้นในยุคนี้
ภูมิแพ้ในเด็ก เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองมากผิดปกติต่อสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกาย
- ไรฝุ่น
- ฝุ่นละออง
- เกสรดอกไม้
- เชื้อราในอากาศ
- ขนสัตว์
- ควันบุหรี่ หรือมลภาวะ
- อาหารบางชนิด
อาการหลักที่พบ ได้แก่
- น้ำมูกใส คัดจมูกเรื้อรัง อาจมีเลือดกำเดาไหลได้
- จามบ่อย โดยเฉพาะหลังตื่นนอน
- ไอแห้ง ๆ ในเวลากลางคืนหรือเช้า
- คันจมูก คันตา แสบตา น้ำตาไหล
- เด็กบางคนมีรอยถูจมูกขึ้นลงจนเป็นรอยตรงสันจมูก (Allergic Salute)
อาการดังกล่าวมักจะเป็นๆหายๆเรื้อรัง โดยที่จะมีอาการเมื่อมีปัจจัยมากระตุ้น
ไข้หวัดในเด็ก โรคติดเชื้อที่หายได้เอง แต่ต้องแยกให้ออก
ไข้หวัด เกิดจากเชื้อไวรัสมากกว่า 200 ชนิด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง อาจเป็นหวัดได้บ่อยถึง 6–10 ครั้ง/ปี อาการสำคัญ ได้แก่
- มีไข้ เจ็บคอ น้ำมูกไหล
- น้ำมูกอาจใสในช่วงแรก และข้นในวันถัดไป
- ไอ มีเสมหะ เสียงแหบ
- ซึม เพลีย เบื่ออาหาร
- มักหายได้เองใน 5–7 วัน

พ่อแม่ควรทำอย่างไร เมื่อสงสัยว่าลูกเป็นภูมิแพ้หรือไข้หวัด?
1. จดบันทึกอาการอย่างสม่ำเสมอ
- สังเกตว่าอาการเกิดช่วงเวลาไหน? ตอนตื่นนอน หรือตลอดวัน
- มีไข้ร่วมด้วยหรือไม่?
- มีสิ่งกระตุ้นรอบตัว เช่น ฝุ่น สัตว์เลี้ยง?
2. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นภูมิแพ้ในบ้าน
- ใช้ปลอกหมอน และผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น
- ทำความสะอาดแอร์และห้องนอนสม่ำเสมอ
- งดเลี้ยงสัตว์ หรือ หลีกเลี่ยงการนำสัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน
3. พบแพทย์เฉพาะทาง
- เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าคือติดเชื้อ หรือภูมิแพ้
- อาจมีการทดสอบภูมิแพ้ หากมีอาการที่สงสัย
- เลี่ยงการให้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
- หากวินิจฉัยว่าเป็นภูมิแพ้ อาจต้องกินยาแก้แพ้ หรือใช้ยาพ่นจมูกร่วมด้วย
แยกให้ชัด รักษาให้ตรง ลดปัญหาที่อาจเรื้อรัง
ภูมิแพ้ในเด็กมักเรื้อรัง แต่ควบคุมได้ ถ้ารู้เร็วและดูแลถูกวิธี ส่วนไข้หวัดมักหายได้เอง แต่หากไม่หายภายใน 7 วัน หรือมีไข้สูง ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
