ผู้หญิงส่วนใหญ่หนีไม่พ้นการปวดประจำเดือน แต่หากปวดมากขึ้นกว่าที่เคยปวดจนเป็นเหตุให้ต้องนอนหยุดพัก ไปทำงานไม่ได้ หรือใช้ชีวิตประจำวันไม่ไหว ก็ควรหาโอกาสไปตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ยิ่งหากมีอาการต่างๆ เหล่านี้ ก็ต้องรีบเลย
อาการแบบนี้ที่ชวนสงสัยว่าไม่ใช่ปวดประจำเดือนธรรมดา
- ปวดจนต้องนอนพัก หยุดงาน หรือต้องกินยาแก้ปวดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จากที่เคยกินยาแก้ปวดเม็ดเดียวแล้วหายก็ต้องกินเพิ่มหรือกินบ่อยขึ้น
- ขณะมีเพศสัมพันธ์รู้สึกเจ็บหรือปวดทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือเคยเป็นแต่ไม่มากเท่าปัจจุบัน
- ประจำเดือนมามาก มาหลายวันกว่าปกติ
- มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ซีด
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น และในตอนกลางคืนต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำมากกว่า 1 ครั้ง
- ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หรือปวดมากขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนอิริยาบถไปนอนหรือนั่งในบางท่า
หากมีอาการต่างๆ ที่ว่ามานี้ โปรดอย่าอยู่เฉย เพราะนั่นอาจหมายถึงกำลังเริ่มมีอาการของโรคเหล่านี้
1. โรคเนื้องอกมดลูก
นับเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดสำหรับโรคทางนรีเวช เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติจนเป็นก้อนและแทรกเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อ แม้จะไม่ใช่โรคร้ายเพราะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ในบางรายก็อาจจะมีอาการปวดทรมานรุนแรง หรือลุกลามส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญอื่นๆ ในร่างกาย ซึ่งอาการที่แสดงออกจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น เช่น...
- เนื้องอกที่เกิดใต้เยื่อบุโพรงมดลูก จะทำให้ประจำเดือนมากขึ้นและนานหลายวันขึ้น
- เนื้องอกที่เกิดด้านหน้าใต้กระเพาะปัสสาวะจะกดกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ต้องปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่สุด
- เนื้องอกที่เกิดด้านหลัง จะกดลำไส้ใหญ่ส่งผลให้มีอาการท้องผูก
- เนื้องอกที่ขยายไปทางด้านข้าง อาจจะไปกดท่อไต ทำให้การทำงานของไตเสียหายได้
- เนื้องอกที่เกิดด้านบนของมดลูก ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ จึงมักตรวจพบเมื่อก้อนมีขนาดใหญ่แล้ว
2. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และช็อกโกแลตซีสต์
ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดนั้นเกิดกับประชากรหญิงประมาณ 10% เมื่อเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่จึงทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน ต่อมาจะเกิดเป็นถุงน้ำเล็กๆ ที่มีของเหลวเหมือนช็อกโกแลต ซึ่งจะค่อยๆ เบียดเนื้อรังไข่ และขยายใหญ่ขึ้นจนเป็นถุงน้ำช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) ภาวะนี้จะเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้สตรีมีบุตรยาก แต่อาการสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องที่ควรใส่ใจมากกว่า คือ....
- ปวดประจำเดือนมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น สังเกตได้จากต้องกินยาเพิ่มมากขึ้นจึงบรรเทาอาการปวดได้
- มีอาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
- ปวดเรื้อรัง ปวดทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน
- ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด หรือมีลำไส้แปรปรวนร่วมด้วย
3. ถุงน้ำหรือซีสต์ที่รังไข่ (Ovarian Cyst)
ถุงน้ำรังไข่หรือซีสต์มีหลายแบบ ถ้าเป็นถุงน้ำตามธรรมชาติที่เกิดตามรอบเดือน โดยธรรมชาติแล้วก็จะยุบไปเองตามรอบเดือน หรือถ้าตกค้างอยู่ ภายใน 2-3 เดือนก็จะยุบเองได้เช่นกัน แต่หากเกิดความผิดปกติคือถุงน้ำไม่ยุบแต่กลับโตขึ้น ก็จำเป็นต้องรักษา ซึ่งมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยอาการทั่วไปของการมีถุงน้ำรังไข่เจริญขึ้นจนเป็นปัญหา มักมีดังนี้...
- ประจำเดือนผิดปกติ คือ มามาก มากระปริดกระปรอย ปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน
- มีอาการปวดท้องน้อย และถ้าปวดสัมพันธ์กับรอบเดือนก็อาจสงสัยว่าจะมีช็อกโกแลตซีสต์
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากซีสต์โตพอสมควรและไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้พื้นที่กระเพาะปัสสาวะเล็กลง
- มีอาการหน่วงๆ ท้องน้อยบ่อยๆ
- ไม่มีอาการ แต่กลับมีหน้าท้องโตขึ้น หลายคนจึงคิดว่าเกิดจากที่อ้วนขึ้น
- ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุจากขั้วถุงน้ำรังไข่บิด หรือถุงน้ำรังไข่แตก ซึ่งต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
4. โรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis)
โรคนี้เกิดจากการที่มีเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญในชั้นกล้ามเนื้อของมดลูก ซึ่งปกติแล้วเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญและสลายตามรอบระดู แต่เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นและมีการเจริญในชั้นกล้ามเนื้อมดลูก ก็จะทำให้มดลูกเกิดการบีบตัว เกิดพังผืด เมื่อเกิดซ้ำๆ หลายๆ รอบประจำเดือนจึงทำให้มดลูกโตขึ้น โดยสังเกตอาการได้ดังนี้
- ประจำเดือนมามากและนานผิดปกติ
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดหน่วง
- ปวดคล้ายเป็ประจำเดือนแต่เป็นเกือบทุกวันในขณะที่ไม่ได้มีประจำเดือน
- หมดประจำเดือนแล้ว แต่มีเลือดออกมาทางช่องคลอด
- สตรีที่มีบุตรยากที่มีประจำเดือนมาน้อยมาก
- มีภาวะแท้งบุตร แท้งซ้ำ
- ตรวจพบเนื้องอกหรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูก
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็คือโรคทางนรีเวชที่พบได้บ่อย แต่หากผู้หญิงได้รับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ก็จะสามารถพบสาเหตุหรือแนวโน้มของการเกิดโรคได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เริ่มรักษาได้เร็วขึ้น ผลการรักษาก็ย่อมจะดีกว่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการลุกลาม