เคล็ดลับดูแลสุขภาพ ห่างไกล ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
โรงพยาบาลเปาโลเกษตร
12-ก.ค.-2566


Line official account : Paolo Hospital Kaset
Line ID : @paolokaset


ปัจจัยและสาเหตุของการเกิดโรค

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันพอกตับส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งการกินอาหารในกลุ่มแป้ง น้ำตาล และไขมันในปริมาณมากเกินไป จนร่างกายนำไปใช้ไม่หมดจึงสะสมเป็นไขมันในหลอดเลือดและเกาะอยู่ตามอวัยวะต่างๆ รวมถึงมาเกาะที่ตับด้วย ซึ่งหากมีไขมันสะสมอยู่ที่ตับเกินกว่า 5-10% ของน้ำหนักตับ จะถือว่าเข้าสู่การเป็นโรคไขมันพอกตับแล้ว

 

ไขมันพอกตับ ยังเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ (NCDs) ไม่ว่าจะโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และยังสามารถเกิดจากผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านไวรัส ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาฮอร์โมน ได้ด้วยเช่นกัน

 

อาการ 4 ระยะ...ของโรคไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ มีการดำเนินโรคเป็น 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 พบการสะสมของไขมันอยู่ภายในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรืออาการใดๆ

ระยะที่ 2 มีการอักเสบของตับ และเซลล์ตับถูกทำลายบางส่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังซึ่งจะเกิดขึ้นได้ภายใน 6 เดือน

ระยะที่ 3 มีภาวะตับอักเสบเรื้อรังและเกิดพังผืดสะสม เซลล์ตับจึงถูกทำลายไปเรื่อยๆ

ระยะที่ 4 มีภาวะตับแข็ง ตับเสื่อมสมรรถภาพจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดี มีโอกาสพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับได้ในอนาคต

 

การดูแลสุขภาพ...ให้ห่างไกลไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)

เราสามารถดูแลสุขภาพตับให้ดีได้ ด้วยการทำบางสิ่งและไม่ทำบางอย่างดังนี้

 

ทำสิ่งนี้...ช่วยให้สุขภาพตับดีไปอีกนาน

  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ จิบน้ำบ่อยๆ
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาการที่มีกากใยสูง หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน หากจำเป็นควรเลือกชนิดที่มีไขมันดี (HDL)
  • ล้างผัก-ผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อให้มีสารปนเปื้อนน้อยที่สุด
  • ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน รวม 150 นาทีขึ้นไปต่อสัปดาห์
  • ขับถ่ายเป็นประจำ อย่าปล่อยให้ท้องผูก
  • หากมียาที่ต้องกินเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อค้นหาความผิดปกติของตับ แม้ยังไม่มีอาการแสดง
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยดูจากค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ซึ่งมีสูตรคำนวณ คือ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลัง 2 (BMI = kg/m2)

ยกตัวอย่างเช่น น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร 

  ดัชนีมวลกาย (BMI) = 70 ÷ (1.75 X 1.75)

                   = 70 ÷ 3.06 
                                       
= 22.87

 

 

BMI kg/m2

อยู่ในเกณท์

ภาวะเสี่ยงต่อโรค

น้อยกว่า 18.50

น้ำหนักน้อย / ผอม

มากกว่าคนปกติ

ระหว่าง 18.50 - 22.90

ปกติ (สุขภาพดี)

เท่าคนปกติ

ระหว่าง 23 - 24.90

ท้วม / โรคอ้วนระดับ 1

อันตรายระดับ 1

ระหว่าง 25 - 29.90

อ้วน / โรคอ้วนระดับ 2

อันตรายระดับ 2

มากกว่า 30

อ้วนมาก / โรคอ้วนระดับ 3

อันตรายระดับ 3

 

ข้อมูลการคำนวณ BMI : กองออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ลด ละ เลิกทำสิ่งเหล่านี้...ที่ทำร้ายตับ

  • ลดการกินของหวาน ของมัน สิ่งที่ทำให้เสี่ยงน้ำหนักตัวเกิน
  • เลิกสูบบุหรี่ ทั้งบุหรี่ทั่วไปและบุหรี่ไฟฟ้า ไม่อยู่ในสถานที่ที่ต้องได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • เลิกใช้สารเสพติดต่างๆ ยาฆ่าแมลง 
  • เลิกกินยาหรือสมุนไพรโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

 

ปกติแล้ว การตรวจสุขภาพประจำปีจะมีการตรวจค่าการทำงานของตับในเบื้องต้น แต่ใครก็ตามที่มีปัจจัยหรือพฤติกรรมเสี่ยงเป็นโรคไขมันพอกตับ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตับแบบเจาะลึก (Fibroscan) เพื่อค้นหารอยโรคไขมันพอกตับ ที่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะต้นๆ เพื่อการป้องกันการลุกลามและรักษาได้ทันท่วงที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ตรวจคัดกรองและทำการรักษาจนผู้ป่วยมีภาวะตับแข็งแล้ว การรักษาจะเป็นแค่การควบคุมอาการ และการลดไขมันในตับให้น้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่โรคจะไม่หายขาด


สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม
คลินิกระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเปาโล เกษตร
โทร. 02 1500 900