-
6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับประจำเดือน
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
08-ก.พ.-2567

6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับประจำเดือน

ความเชื่อเรื่องประจำเดือนของคนไทยได้รับการบอกต่อจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งหลายอย่างก็เป็นความเข้าใจผิดที่ส่งผลต่อสุขภาพได้ วันนี้โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ จะมาช่วยไขข้อข้องใจว่าความเชื่อไหนบ้าง? ที่ไม่ถูกต้อง! และยังมีคำแนะนำดีๆ ที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพเพื่อลดความรุนแรงของอาการปวดท้องประจำเดือนมาฝากอีกด้วย

 


6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับประจำเดือน และความเป็นจริงที่ควรทราบ

1.

ความเชื่อ : ไม่ควรดื่มน้ำเย็นหรือของเย็นๆ ในช่วงมีประจำเดือน เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้น และจะขับเลือดประจำเดือนออกมาได้ไม่หมด ทั้งยังอาจทำให้ประจำเดือนเป็นลิ่มเลือด

ความจริง : การดื่มน้ำเย็นหรือกินของเย็นๆ ในช่วงมีประจำเดือนจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อร่างกาย เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำหรืออาหารจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้มาก่อน จึงไม่เกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบต่อมดลูก เช่นเดียวกับการอาบน้ำเย็น เพราะร่างกายของคนเราจะมีระบบปรับอุณหภูมิของสิ่งที่ทานเข้าไปรวมถึงอุณหภูมิจากภายนอก ทำให้ร่างกายสามารถปรับอุณหภูมิได้แม้จะทานของเย็นหรืออาบน้ำเย็นก็ตาม

 

2.

ความเชื่อ : ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวช่วงมีประจำเดือน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เลือดมีกลิ่นคาวขึ้น ปวดประจำเดือนมากขึ้น ทำให้ประจำเดือนในรอบถัดไปมาผิดปกติ หรือทำให้ประจำเดือนหยุดไหล

ความจริง : ไม่มีข้อห้ามในการดื่มน้ำมะพร้าวในช่วงมีประจำเดือน แต่ก็ไม่แนะนำให้ดื่มมากเกินไป ที่มีความเชื่อเช่นนั้นอาจเนื่องมาจากในน้ำมะพร้าวมีสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ซึ่งเป็นสารที่คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการผิดปกติหรือไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ ได้เช่นกัน

 

3.

ความเชื่อ : ไม่ควรออกกำลังกายในช่วงมีประจำเดือน เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียอยู่แล้ว หากออกกำลังกายอาจทำให้ประจำเดือนออกมามากขึ้น หรือเป็นลมได้

ความจริง : สามารถออกกำลังกายได้ เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย แต่ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ด้วย โดยควรเลือกออกกำลังกายเบาๆ ที่มีการเคลื่อนไหวไม่รุนแรงหรือหนักหน่วงเกินไป หรือลดระยะเวลาในการออกกำลังกายลงเล็กน้อยจากปกติ ทั้งนี้การออกกำลังกายที่มากเกินไปอย่างเช่นนักกีฬา ก็มีโอกาสที่จะทำให้ประจำเดือนไม่มาได้

 

4.

ความเชื่อ : มีเพศสัมพันธ์ระหว่างที่มีประจำเดือนจะช่วยลดโอกาสการตั้งครรภ์ หรือทำให้ไม่ท้อง

ความจริง : อาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากผู้หญิงบางคนมีเลือดคล้ายประจำเดือนไหลออกมาในช่วงไข่ตก ซึ่งช่วงที่ไข่ตกเป็นช่วงที่พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์มากที่สุด รวมถึงหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีประจำเดือนในวันท้ายๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงตั้งครรภ์ เพราะอสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในช่องคลอดหลังจากการหลั่งได้นานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้นแม้เป็นช่วงมีประจำเดือน หากต้องมีเพศสัมพันธ์ควรป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัย

ทั้งนี้ การมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน ยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่าปกติถึง 3 เท่า เนื่องจากในช่วงมีประจำเดือนภูมิต้านทานต่อเชื้อต่างๆ ในร่างกายจะทำงานลดลง และค่าการเป็นกรด-ด่างในช่องคลอดจะเปลี่ยนไป ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดีขึ้น ประกอบกับปากมดลูกจะเปิดเพื่อระบายเลือด ทำให้เชื้อโรคต่างๆ ที่อาศัยในช่องคลอดเข้าสู่ภายในได้ง่ายขึ้น

 

 

5.

ความเชื่อ : ไม่เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ อาจทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

ความจริง : สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกมาจากการติดเชื้อไวรัส HPV ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอนามัยน้อยครั้ง แต่การเปลี่ยนผ้าอนามัยที่น้อยครั้ง หรือใช้แผ่นเดิมนานจนเกินไป อาจส่งผลต่อความสะอาดบริเวณช่องคลอด

 

6.

ความเชื่อ : ประจำเดือนคือเลือดเสีย ยิ่งออกมามากก็ถือได้ว่าขับของเสียมาก

ความจริง : ประจำเดือนไม่ใช่เลือดเสีย แต่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมาพร้อมกับเลือด ซึ่งการที่มีประจำเดือนมามากก็ไม่ได้แสดงถึงการเอาของเสียออกจากร่างกาย ทั้งยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติของคุณผู้หญิงอีกด้วย การที่ประจำเดือนมามากเกินไปจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย และระบบไหลเวียนโลหิตเกิดความผิดปกติได้

 


เคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน

เมื่อผู้หญิงอยู่ในช่วงที่มีประจำเดือนมักมีอาการปวดท้อง เพราะช่วงก่อนมีประจำเดือนจะมีสารที่ชื่อว่า Prostaglandins ในปริมาณมาก ซึ่งจะกระตุ้นให้มดลูกเกิดการบีบตัว และหลังจากผ่านช่วงมีประจำเดือนไป สารตัวนี้ก็จะลดลง อาการบีบตัวของมดลูกจึงค่อยๆ หายไปใน 2-3 วัน ทั้งนี้ เมื่อเกิดการบีบตัวของมดลูกจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง แต่อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นก็สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีเหล่านี้...

  • ประคบร้อนบริเวณท้องน้อยด้วยกระเป๋าน้ำร้อน หรือหากไม่มี สามารถใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบแทนได้
  • นวดบริเวณท้องน้อยเบาๆ โดยนวดวนเป็นวงกลมบริเวณท้องน้อย เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ถูกบีบผ่อนคลายลง อาการปวดท้องประจำเดือนก็จะลดลงตามไปด้วย
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • การฝึกสมาธิหรือโยคะก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เพราะการทำสมาธิจะช่วยลดความเครียด และการเล่นโยคะก็เป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหน้าท้องและหลัง
  • พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 40-60 นาที

ทั้งนี้ หากใช้วิธีต่างๆ ข้างต้นแล้ว แต่อาการปวดประจำเดือนยังไม่ทุเลาลง แถมยังมีอาการรุนแรงกว่าเดิม หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือนด้านอื่นๆ ควรรีบพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง

 

นอกจากนี้ การหมั่นตรวจสุขภาพและตรวจภายในจะมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เพราะหากพบความผิดปกติที่อาจเกี่ยวเนื่องกัน จะได้รีบรักษาทั้งตัวโรคก่อนอาการจะลุกลาม และทั้งช่วยแก้ปัญหาที่ส่งผลต่ออาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงได้อีกด้วย

บทความโดย

แพทย์หญิงศิริพร ประยูรหงษ์
แพทย์ประจำสาขาสูตินรีเวชทั่วไป

โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพสตรี

โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร. 02-363-2000 ต่อ 2201-2202
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆได้ที่

Facebook : Paolo Hospital Samutprakarn
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn