พญ.มณฑิรา ศุภภัคว์รุจา

กุมารแพทย์

วุฒิบัตร

กุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
วัน เวลา
ไม่มีตารางออกตรวจ
<span style="font-size: 18pt;"><span style="font-family: DBHeavent;"><span style="font-family: DBHeavent;">title</span> </span></span>พญ.มณฑิรา ศุภภัคว์รุจา
ความเชี่ยวชาญ : กุมารเวชศาสตร์
การศึกษา :
-แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
-วุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ประสบการณ์ทำงาน:
-กุมารแพทย์ โรงพยาบาลเมโย
-กุมารแพทย์ โรงพยาบาลจุฬารัตน์3
-ปัจจุบัน กุมารแพทย์ โรงพยาบาลเปาโล รังสิต
การอบรมพิเศษ:
อบรมหลักสูตรการช่วยชีวิตชั้นสูงในเด็ก

พญ.มณฑิรา ศุภภัคว์รุจา สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังจากเป็นแพทย์ใช้ทุนเรียบร้อยแล้ว จึงได้ศึกษาต่อวุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์ ณ สถาบันเดิม คุณหมอได้เล่าถึงแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการศึกษาว่า…
          “ในความคิดของหมอ เด็กก็เปรียบเสมือนไม้อ่อนที่สามารถดัดหรือปรับเปลี่ยนได้ง่าย หากเด็กๆ ได้ฝึกนิสัยให้มีพฤติกรรมด้านสุขภาพที่ดี โดยเริ่มจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะส่งผลต่อสุขภาพของเขาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ หมออยากเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ปลูกฝังในสิ่งที่ดีและถูกต้อง ขณะเดียวกันก็สามารถให้คำแนะนำคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลลูกน้อยให้มีสุขภาพดี และอาจจะด้วยหมอมีนิสัยที่รักเด็ก เข้ากับเด็กๆ ได้ดี สามารถรับมือกับความงอแงของเด็กๆ ได้อย่างไม่หงุดหงิด เพราะหมอเข้าใจธรรมชาติของความเป็นเด็ก สิ่งเหล่านี้จึงทำให้หมอเลือกที่จะมาเป็นกุมารแพทย์”


คนไข้เด็กๆ ที่คุณหมอดูแลและรักษา
          เด็กๆ ที่คุณหมอมณฑิรา ดูแลรักษาจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือการดูแลคนไข้เด็กที่มาตรวจสุขภาพด้วยอาการต่างๆ แบบโรคทั่วไป รวมถึงเด็กสุขภาพดีที่ต้องทำวัคซีนตามช่วงวัยไปจนถึงอายุ 15 ปี ซึ่งเด็กประมาณสองในสามที่หมอฉีดวัคซีนให้ ก็จะเป็นเด็กๆ ที่คลอดที่โรงพยาบาลเปาโล รังสิต นี่เอง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือคนไข้เด็กที่ต้องนอนโรงพยาบาล เริ่มตั้งแต่เด็กแรกคลอด ไปจนถึงการรักษาโรคทั่วไปในเด็กที่พบบ่อย เช่น โรคในระบบทางเดินหายใจ อาทิ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ และโรคกลุ่มท้องเสีย อาเจียน รวมถึงโรคไข้เลือดออกที่เด็กต้องนอนโรงพยาบาล คุณหมอก็จะดูแลอย่างใกล้ชิด...

“การเป็นแพทย์ ไม่ว่าจะเชี่ยวชาญทางด้านไหนก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง ต้องซื่อสัตย์และซื่อตรงกับคนไข้ รักษาตามความเป็นจริง และที่สำคัญต้องมีความเมตตาและมีความปรารถนาดีต่อคนไข้อยู่เสมอ
หมอขอยกตัวอย่างเคสหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกของเด็ก  คือหมอมีคนไข้เด็กประจำของที่นี่ซึ่งอยู่ในวัยอนุบาล เด็กมีอาการไม่ยอมรับประทานอาหาร เป็นเด็กทานยาก ทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความกังวลใจเป็นที่สุด จนมีวันหนึ่งเด็กไม่สบายและมาแอดมิทที่โรงพยาบาล หมอจึงได้พูดคุยกับคุณแม่ของเด็กเพื่อปรึกษาหารือถึงสาเหตุว่าทำไมเด็กถึงไม่ยอมทานอะไรเลย และควรจะแก้ไขอย่างไรบ้าง ซึ่งในระหว่างที่พูดคุยกันนั้น หมอก็เห็นว่าเด็กแกล้งทำเป็นหลับ แต่จริงๆ แล้วเขาได้ยินบทสนทนาของหมอและคุณแม่ทั้งหมด หลังจากวันนั้นคุณแม่ได้โทรมาแจ้งหมอว่า ลูกของเขาได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เริ่มจากกินไข่ได้ก่อน และทุกวันนี้ก็ทานอาหารได้เก่งขึ้นมาก แม้จะเป็นอะไรเพียงเล็กน้อยแต่ก็สร้างความประทับใจให้กับหมอได้มากทีเดียว
เคสนี้คุณหมอคิดว่าเด็กน่าจะแอบฟัง และเข้าใจความปรารถนาดีของหมอกับคุณแม่ที่อยากให้เขามีร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ซึ่งก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิธีการสื่อสาร การแสดงความจริงใจ และที่สำคัญอย่าคิดว่าเด็กไม่มีเหตุผล เพียงแต่เราต้องเข้าใจวิธีที่จะทำให้เขาเปิดใจกับเรา”

ให้ความสำคัญกับพัฒนาการและการดูแลรักษาอย่างรอบด้าน
ที่แผนกกุมารเวช โรงพยาบาลเปาโล รังสิต ได้สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ไว้รองรับเด็กๆ คือมีสนามเด็กเล่นเล็กๆ และมีตู้ปลาซึ่งเด็กๆ จะชอบมาก แต่ด้วยในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิดในช่วงนี้ จึงจำเป็นต้องปิดพื้นที่ในส่วนนี้ไป อย่างไรก็ตามเรายังมีโซนเกี่ยวกับการสร้างพัฒนาการของเด็กๆ เป็นเหมือนการสร้าง playground ขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีการเชิญคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เช่น ด้านการสอนพูด และยังจะมีนักพัฒนาการเด็กมาอยู่ดูแลเด็กๆ เป็นประจำในแผนก โดยตั้งใจให้ศูนย์เด็กเป็น one stop service ที่ครอบคลุมเรื่องสุขภาพเด็กทั้งหมด ซึ่งในส่วนของการดูแลสุขภาพเด็กๆ นั้น คุณหมอบอกว่า…
“สำหรับการดูแลบุตรหลานทางด้านร่างกายเป็นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองน่าจะทราบและปฏิบัติได้ดีอยู่แล้ว ส่วนทางด้านพฤติกรรมอยากฝากให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองปล่อยให้ลูกได้เติบโตตามธรรมชาติบ้าง คือได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ให้เขาได้มีโอกาสลองผิดลองถูก ได้ล้มบ้าง ได้เจ็บตัวบ้าง เปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดด้วยประสบการณ์ เพราะการผิดพลาดครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองย่อมไม่เป็นไรเมื่อมีคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลและให้คำแนะนำอยู่ และเมื่อเขาทำอะไรได้สำเร็จนั่นจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเขา ซึ่งสามารถต่อยอดไปได้เรื่อยๆ เด็กๆ จะเกิดทักษะในการดำเนินชีวิตเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งกายและใจในวันข้างหน้า”