ตับอักเสบ
โรงพยาบาลเปาโลพระประแดง
28-มิ.ย.-2560
ภาวะโรคตับอักเสบ หมายถึงภาวะที่เซลล์ตับมีความผิดปกติ ส่งผลให้การทำหน้าที่ต่างๆ ของตับผิดปกติ มีแผล มีลักษณะขรุขระ และอาจทำให้เป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้

 ประเภทของภาวะตับอักเสบ

  • ตับอักเสบเฉียบพลัน อาการที่พบได้บ่อย คืออ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้องที่ตำแหน่งชายโครงด้านขวาจากการที่ตับโต ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ส่วนใหญ่เป็นชนิด A B C E และเชื้อไวรัสอื่นๆ เช่น Cytomegalo virus (CMV) Epstein-Barr virus (EBV) Herpes Simplex virus (HSV) เชื้อไวรัสไข้เลือดออก (Dengue) รวมถึงยาบางชนิดที่อาจส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาจากแพทย์ทางเลือกต่างๆ อาทิ ยาจีน ยาสมุนไพร เป็นต้น ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบได้ เช่น สารเคมีบางชนิด เห็ดที่มีพิษ การดื่มแอลกอฮอล์ การขาดเลือดแบบเฉียบพลัน การติดเชื้อโรคต่างๆ อาจทำให้ตับอักเสบเฉียบพลัน
  • ตับอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการ แต่เซลล์ตับจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนเกิดตับแข็ง หรืออาจเป็นมะเร็งตับในที่สุด สามารถเกิดจากผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์ การได้รับสารพิษ ความอ้วน หรือมีการอักเสบของตับเป็นเวลานานเกิน 6 เดือนขึ้นไป

ลักษณะอาการของโรคตับอักเสบ

มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ปวดท้อง เจ็บเสียดบริเวณชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ และอาการสำคัญที่บ่งว่าเป็นโรคตับอักเสบ คือ อาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งเรียกกันว่า ดีซ่าน สำหรับกรณีของไวรัสตับอักเสบ มีทั้งหมด 5 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี ชนิดที่ก่อให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังก็ คือ ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี ซึ่งเชื้อไวรัสตับอักเสบดีไม่พบเจอในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่ทำให้เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี คือ การติดต่อจากคนในครอบครัว แพร่กระจายภายในเครือญาติ โดยสามารถติดต่อกันทางเลือด น้ำคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ และการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนโรคไวรัสตับอักเสบซี ปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญ คือ การติดเชื้อทางเข็ม โดยการสักบนผิวหนังและการฉีดยา เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบแล้ว จะยังไม่มีอาการปรากฏจนถึงระยะสุดท้าย ผู้ป่วยอาจเกิดอาการตับวาย และเสียชีวิตได้

การรักษา และป้องกันโรคตับอักเสบ

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จะใช้ยาต้านไวรัสเพื่อขจัดเชื้อ ตรวจ ติดตามผลการรักษา การตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดปริมาณเชื้อแต่สิ่งที่ดีที่สุด คือ การป้องกันที่ต้นตอของโรคตับ ทำได้ดังนี้
  • การมีอนามัยส่วนบุคคล และส่วนรวมที่ดี เช่นการล้างมือให้สะอาดหลังการขับถ่าย ปรุงอาหารถูกหลักอนามัย เลือกรับประทานอาหารที่สุกมีประโยชน์ ไม่ปนเปื้อนสารพิษ และดื่มน้ำสะอาด
  • หลีกเลี่ยงการรับ สัมผัสเลือด น้ำเหลือง สารคัดหลั่ง
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่สามี ภรรยา
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโรคตับอักเสบก่อนได้รับเชื้อ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ปรึกษาแพทย์ออนไลน์

ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ อาคาร 1 ชั้น 2 โทร.02-2717000 ต่อ 10288-89