โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus: DM) เป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน
ทำให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนขึ้น
โรคเบาหวาน เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เกิดโรคแทรกซ้อนทางหลอดเลือดตามมา จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะทุพพลภาพหรือเสียชีวิตในที่สุด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่พบได้บ่อยในประชากรไทย โดยพบมากขึ้นในผู้สูงอายุ

ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลในเลือด หากผลการตรวจหลังงดอาหารและเครื่องดื่มมีน้ำตาลอยู่กระแสเลือดไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติ ทั้งนี้ระดับน้ำตาลในเลือดยังบ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ด้วย (Prediabetes) ซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเป็นเบาหวานสามารถพัฒนาการเกิด โรคเบาหวานประเภทที่ 2 (เบาหวานที่เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้) โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองในอนาคตได้ง่ายขึ้น
โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร ?
อาการหลักๆ ที่สื่อว่าคนๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาจได้แก่ รู้สึกหิวบ่อย , กระหายน้ำ , ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย อีกทั้งก็ยังมีอาการอื่นๆ ประกอบ อาทิ
- เหนื่อย อ่อนเพลีย
- ผิวแห้ง เกิดอาการคันบริเวณผิว
- ตาแห้ง
- มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
- ร่างกายซูบผอมลงผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
- เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
- สายตาพร่ามัวในแบบที่หาสาเหตุไม่ได้
10 สัญญาณอันตราย โรคเบาหวาน
- อ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้
- ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
- หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)
- ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดขา ปวดเข่า
- ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด
- เป็นฝีตามตัวบ่อยๆ
- อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย
- แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที
.jpg)
กลไกการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดนั้นซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับอวัยวะหลายอย่าง
อินซูลินต่อร่างกาย
ทำความรู้จักกับ โรคเบาหวาน ว่า อินซูลิน นั้นเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สำคัญภายในร่างกาย สร้างและหลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตากลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญและเป็นพลังงานที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต หากร่างกายขาดอินซูลิน หรืออินซูลินนั้นออกฤทธิ์ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะใช้การไม่ได้ เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็ยังมีความผิดปกติในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น มีการสลายตัวของสารไขมันและโปรตีนร่วม
สาเหตุใด ทำให้ตับอ่อนของคนบางคนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและสาเหตุใดที่ร่างกายเกิดภาวะดื้อต่อการออกฤทธิ์ของอินซูลินขึ้นมา ก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เราทราบแต่เพียงว่ามีปัจจัยทั้งทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมมาเกี่ยวข้อง
คนที่เป็นโรคเบาหวาน มักมีประวัติพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติคนอื่น ๆ เป็นโรคเบาหวานด้วย สิ่งนี้คือปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งเราคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตอันใกล้
นอกจากปัจจัยทางพันธุกรรม
พบว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเบาหวานด้วย เช่น น้ำหนักตัวที่มากหรือภาวะอ้วน ทำให้ร่างกายมีภาวะดื้อต่อการออกฤทธิ์ของอินซูลินมากขึ้น จนเกิดเป็นเบาหวานได้ในคนที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม (เช่น พ่อ แม่ เป็นเบาหวานอยู่แล้ว)
การรักษาโรคเบาหวาน
การรักษาผู้ป่วยเบาหวานในประเภทที่ 1 จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปทดแทนในร่างกายด้วยการฉีดยาเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม ในขณะที่ โรคเบาหวานประเภทที่ 2 หากเป็นในระยะแรก ๆ สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลัง และควบคุมน้ำหนัก หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจให้ยาควบคู่ไปด้วยหรือฉีดอินซูลินเข้าไปทดแทนเช่นเดียวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1
สำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรเข้าฝากครรภ์กับแพทย์ตั้งแต่ในระยะแรก พร้อมทั้งควบคุมอาหารที่รับประทานและออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน
แพทย์จะสอบถามอาการผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยของผู้ป่วยและของบุคคลในครอบครัว และการตรวจร่างกาย และที่สำคัญต้องอาศัยการตรวจเลือด เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหลัก โดยมีวิธีการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือดหลายวิธี ได้แก่
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ (Random/Casual Plasma Glucose Test)
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose: FPG)
- การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1c: HbA1c)
- การทดสอบการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT)
หากผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน คือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีสาเหตุ การตรวจด้วยวิธีทั้งหมดข้างต้นจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย
การรักษาโรคเบาหวาน
ในปัจจุบัน มีเกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานอยู่หลายข้อด้วยกัน
ที่นิยมใช้กันมากคือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าหลังอดอาหารข้ามคืน หากมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ก็จะเข้าเกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน (ค่าปกติ คือน้อยกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
หากมีการเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลโดยไม่อดอาหาร และพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ร่วมกับคนไข้มีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย และน้ำหนักลด ก็จัดว่าเข้าเกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวานเช่นกัน
นอกจากนี้ ในกรณีที่ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ หากไม่มีการควบคุมในเรื่องของการรับประทานอาหารและดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อเส้นเลือดที่นำสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะในร่างกายจนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั้งโรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดเล็ก เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคไต เป็นต้น หรือโรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน เป็นต้น รวมไปถึงโรคแทรกซ้อนที่ระบบประสาทและที่สามารถทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียอวัยะบางส่วน นอกจากนี้สตรีมีครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ การแท้งบุตรได้
การป้องกันโรคเบาหวาน
สิ่งสำคัญของการป้องกันโรคเบาหวานทุกชนิด คือ ต้องคอยหมั่นระวังระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอลให้อยู่เกณฑ์ปกติ เน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสารอาหารครบถ้วน มีกากใยสูง หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากเป็นสตรีมีครรภ์ควรเข้ารับการฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการตรวจ
ศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลเปาโล พระประแดง
โทร. 02-818-9000 ต่อ 113