โนโรไวรัส...รู้ทัน ป้องกัน ห่างไกลภัยเงียบจากอาหาร

โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นสาเหตุสำคัญของ ระบบทางเดินอาหารอักเสบ ที่แพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ได้รับเชื้อเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ ที่สำคัญคือ โนโรไวรัส ยังทนทานต่อความร้อนและน้ำยาฆ่าเชื้อได้ดี ทำให้การควบคุมการแพร่กระจายเป็นเรื่องที่ท้าทาย

การปนเปื้อนใน อาหารและน้ำดื่ม คือช่องทางหลักที่ทำให้เกิด อาการท้องเสีย และ อาเจียน ซึ่งเชื้อสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในฤดูหนาว และพบการติดเชื้อได้ทั้งใน เด็ก และ ผู้ใหญ่ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ โนโรไวรัส จึงเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้อง สุขภาพ ของคุณและคนในครอบครัว

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อโนโรไวรัส?
แม้ว่า โนโรไวรัส จะสามารถติดเชื้อได้ทุกเพศทุกวัย แต่มีบางกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป ได้แก่:
  1. เด็กเล็ก: เนื่องจาก ระบบภูมิคุ้มกัน ยังพัฒนาไม่เต็มที่และพฤติกรรมการเล่นที่อาจทำให้สัมผัสเชื้อได้ง่าย
  2. ผู้สูงอายุ: ระบบภูมิคุ้มกัน ที่อ่อนแอลงตามวัย ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและมีอาการรุนแรง
อาการของโนโรไวรัสที่ต้องระวัง
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมี อาการ เหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ โนโรไวรัส ที่ควรรีบเฝ้าระวัง:
  1. ถ่ายเหลวอย่างรุนแรง: หรือ ท้องเสีย ที่มีอาการต่อเนื่องหลายครั้ง
  2. ปวดท้อง หรือเป็นตะคริวในช่องท้อง: มี อาการปวดท้อง บิดเกร็งรุนแรง
  3. คลื่นไส้และอาเจียน: มักมี อาการอาเจียน อย่างรุนแรงและบ่อยครั้ง
  4. มีไข้ต่ำ: อาจมี ไข้ ร่วมด้วย แต่ไม่สูงมากนัก
  5. ปวดหัว หรืออ่อนเพลีย: รู้สึก อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หรือมี อาการปวดศีรษะ
อาการ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังได้รับเชื้อ และมักหายได้เองภายใน 1-3 วัน แต่ในบางราย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง อาจมี อาการขาดน้ำ รุนแรงได้

การแพร่กระจายของเชื้อโนโรไวรัส
โนโรไวรัส สามารถแพร่กระจายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วผ่านหลายช่องทาง:
  1. การกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ: เช่น อาหารดิบ โดยเฉพาะ หอยนางรมดิบ หรือ น้ำดื่ม ที่ไม่ผ่านการกรองและปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย
  2. การสัมผัสพื้นผิวหรือวัตถุที่มีเชื้อ: เชื้อสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวต่างๆ ได้นานหลายวัน การสัมผัสแล้วนำมือเข้าปากโดยไม่ล้างมือให้สะอาด เป็นช่องทางสำคัญของการติดเชื้อ
  3. การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ: ละอองสารคัดหลั่งจากการอาเจียนหรืออุจจาระของผู้ป่วยสามารถแพร่กระจายในอากาศและเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง
วิธีป้องกันโนโรไวรัส เคล็ดลับเพื่อสุขอนามัยที่ดี
การป้องกัน โนโรไวรัส ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ปฏิบัติตาม สุขอนามัย ส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด:
  1. ล้างมือบ่อยๆ: ด้วย สบู่และน้ำสะอาด อย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะ ก่อนรับประทานอาหาร และ หลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก หากไม่มีน้ำและสบู่ ให้ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป
  2. กินอาหารสะอาด: หลีกเลี่ยง การกินอาหารดิบ โดยเฉพาะ หอยดิบ หรืออาหารที่ปรุงไม่สุก ควรปรุงอาหารให้สุกด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม
  3. ดื่มน้ำสะอาด: เลือกดื่ม น้ำสะอาด ที่ผ่านการต้มหรือกรองอย่างถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่ไม่แน่ใจในความสะอาด
  4. ทำความสะอาดพื้นผิว: ด้วย น้ำยาฆ่าเชื้อ ที่มีส่วนผสมของคลอรีน หรือน้ำยาที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ โนโรไวรัส อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในห้องน้ำและบริเวณที่เตรียมอาหาร

เมื่อไรควรพบแพทย์?
แม้ว่า อาการ ของ โนโรไวรัส มักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับ การดูแลจากแพทย์ หากมี อาการ เหล่านี้:
  • ถ่ายเหลวอย่างต่อเนื่อง: หรือ อาเจียน บ่อยจนเกิด ภาวะขาดน้ำ ซึ่งสังเกตได้จาก ปากแห้ง, ปัสสาวะน้อยลง, อ่อนเพลียมาก, หรือ เวียนศีรษะ
  • ไข้สูง หรือมี อาการ อื่นๆ ที่ผิดปกติและไม่ดีขึ้น
  • กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรได้รับ การดูแลจากแพทย์ อย่างใกล้ชิดหากมี อาการ ติดเชื้อ

การดูแลรักษา อย่างรวดเร็วจะช่วยป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะขาดน้ำ และ เสียสมดุลเกลือแร่

โนโรไวรัส เป็นเชื้อโรคที่ ป้องกัน ได้ง่าย เพียงแค่เรารู้ วิธีดูแลสุขอนามัย ในชีวิตประจำวัน และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ก็สามารถ ดูแลตัวเอง และคนที่คุณรักให้ ปลอดภัย จากภัยเงียบนี้ได้

บทความโดย พญ.ภัทรดา ธานี กุมารแพทย์เฉพาะทางสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันประจำโรงพยาบาลเปาโล พระประแดง