เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค ทุกช่วงวัยด้วยวัคซีน
โรงพยาบาลเปาโลเกษตร
22-พ.ค.-2566

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค ทุกช่วงวัยด้วยวัคซีน

การฉีดวัคซีน เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายเพื่อป้องกันการติดต่อของโรคติดต่อที่ร้ายแรง ซึ่งวัคซีนอาจจะผลิตจากเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรียที่อ่อนตัวแล้ว หรือส่วนประกอบของเชื้อ แล้วนำมาฉีดเข้าร่างกายเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้น ๆ

ทำไมเราถึงต้องฉีดวัคซีน
การที่เราจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนนั้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคติดต่อที่ร้ายแรง โดยเฉพาะกับเด็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากการฉีดวัคซีนนั้นจะช่วยลดการแพร่ระบาดและลดผลกระทบที่ร้ายแรงของโรคต่อผู้ป่วย

ชนิดของวัคซีน แต่ละชนิดป้องกันโรคที่แตกต่างกันออกไป
1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่
เป็นวัคซีนที่ป้องกันโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะมีการพิจารณาให้ฉีดในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี และเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครุนแรง เช่น เด็กที่จะเป็นโรคเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคอ้วนที่ BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 35 ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคเรื้อรัง เป็นต้น
กรณี ถ้าอายุน้อยกว่า 9 ปี การฉีดครั้งแรกต้องฉีดสองเข็มห่างกัน 1 เดือน กรณีที่ปีแรกได้ไปฉีดเพียงครั้งเดียว ปีถัดไปให้ฉีดสองครั้ง หลังจากนั้นจึงสามารถฉีดปีละครั้งได้


3. วัคซีนเอชพีวี
(HPV) การฉีดวัคซีนจะแนะนำในผู้หญิง ผู้ชาย ที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 26 ปี ซึ่งจะเน้นให้ฉีดในช่วงอายุ 11 -12 ปี โดยฉีด 3 เข็มในเดือนที่ 0 , 1-2 และ 6 ซึ่งประสิทธิภาพจะสูงหากฉีดในผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน แม้ว่าจะเคยมีการติดเชื้อหรือเคยเป็นโรคจากการติดเชื้อเอชพีวีก็ยังควรได้รับวัคซีนเอชพีวีเพราะสามารถป้องกันการติดเชื้อใหม่และการเกิดโรคซ้ำได้

4. วัคซีนอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมีอาการเป็นตุ่มตามผิวหนัง ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือการสัมผัส หรือการไอจาม ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แนะนำให้ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ในผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ฉีดเข้าใต้ผิวหนังจำนวน 2 เข็ม

5. วัคซีนตับอักเสบเอ A  สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน โดยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A จะฉีด 2 ครั้ง โดยทำการฉีดห่างกัน 6 -12 เดือน

6. วัคซีนตับอักเสบบี B สามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่แรกเกิด หรือผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งผู้ที่ควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี B ได้แก่ เด็กทารกแรกเกิด และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง ผู้ที่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี B ผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ทำการฟอกไต ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย ๆ ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค

7. วัคซีนป้องกันงูสวัด (Zoster Vaccine) โรคงูสวัดส่วนใหญ่มักจะก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดรุนแรง และเป็นระยะเวลานาน โดยในบางรายอาจมีอาการปวดยาวถึง 2 ปี สำหรับวัคซีนสามารถให้ได้ในคนอายุ 50 – 60 ปีขึ้นไป ซึ่งวัคซีนสามารถลดอาการปวดลงได้ประมาณ 70 % และลดการเกิดโรคได้ประมาณ 50 %

8. วัคซีนป้องกัน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ถึงแม้ว่าจะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ให้กับเด็กทุกคนที่มารับวัคซีนในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลกมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ก็ยังมีรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดระดับลงหลังจากได้รับวัคซีนครั้งสุดท้าย โดยเมื่อผ่านไปนานเกิน 10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำจนอยู่ในระดับเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ จึงแนะนำให้ทุกคนได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุก ๆ 10 ปี

        อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะเคยฉีดวัคซีนในตอนเด็กมาแล้วแต่ภูมิคุ้มกันก็ลดลงตามเวลาที่ผ่านไป และในชีวิตแต่ละช่วงวัยเราอาจมีโอกาสสัมผัสโรคต่าง ๆ ที่แตกต่างจากในวัยเด็ก อีกทั้งอายุที่มากขึ้นอาจทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงจนมีความเสี่ยงที่จะติดโรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่จึงมีความจำเป็นเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเดิมที่มีอยู่ให้สูงขึ้นให้เพียงพอต่อการป้องกันโรคและป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ที่มีโอกาสสัมผัสในอนาคต



บทความสุขภาพ
วัคซีน สำคัญต่อการเดินทางไปต่างประเทศ หรือไม่
ผู้สูงอายุ ไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพ
ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ ป้องกันได้อย่างไร
รู้ทันอาการ และการป้องกันโรคปอดอักเสบ





สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม
แผนก อายุรกรรม โรงพยาบาลเปาโล เกษตร
โทร. 02 1500 900 ต่อ 5113
Facebook : โรงพยาบาลเปาโล เกษตร
Line official account : Paolo Hospital Kaset
Line ID : @paolokaset