วัคซีน สำคัญต่อการเดินทางไปต่างประเทศ หรือไม่
โรงพยาบาลเปาโลเกษตร
15-ธ.ค.-2565
วัคซีน สำคัญต่อการเดินทางไปต่างประเทศ หรือไม่


ถ้าหากจะเดินทางไปในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ก่อนเดินทางอย่างน้อย
2 สัปดาห์

       วัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค

ในทุกๆประเทศทั่วโลก มักจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่แตกต่างกันออกไป การฉีดวัคซีนจึงถือเป็นวิธีการป้องกันโรคเบื้องต้นที่ดีที่สุด  โดยควรปรึกษาแพทย์อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกัน

วัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท หลักๆ ดังนี้
1.
วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับก่อนออกเดินทาง (Required Vaccine) คือ วัคซีนไข้เหลือง เป็นวัคซีนที่ได้ถูกกำหนดไว้ว่า นักเดินทางจำเป็นต้องได้รับก่อนออกเดินทาง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (WHO IHR) ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เหลืองคือประเทศแถบแอฟริกาและอเมริกาใต้  จำเป็นต้องได้รับวัคซีนไข้เหลืองก่อนการเดินทางอย่างน้อย 10 วัน

2. วัคซีนที่แนะนำให้ใช้ในนักท่องเที่ยวตามความเหมาะสม (Recommended Vaccine for travelers) วัคซีนในกลุ่มนี้ เป็นวัคซีนที่แนะนำให้ใช้ในนักท่องเที่ยวบางกลุ่มหรือบางคนตามความเหมาะสม โดยแพทย์จะพิจารณาด้วยปัจจัยหลายๆอย่างประกอบกัน เช่น  ประเทศหรือสถานที่ที่จะไปมีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากแค่ไหน  ระยะเวลาที่จะไป  กิจกรรมที่จะไปทำ เช่น ไปศึกษาต่อ ไปทำงาน หรือไปท่องเที่ยว ตลอดจนต้องพิจารณาถึงตัวนักท่องเที่ยวและตัวโรคด้วย ซึ่งการพิจารณาดังกล่าว จะทำการให้คำปรึกษาก่อนการเดินทาง


                วัคซีนที่แนะนำในกลุ่มนักท่องเที่ยว ได้แก่

    วัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ (Typhoid Vaccine) ส่วนใหญ่จะพิจารณาให้ฉีดในนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปในประเทศแถบเอเชียใต้ เช่น อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการติดโรคไทฟอยด์

    วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (
    Rabies Vaccine)
     นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปในพื้นที่ห่างไกลอย่างประเทศอินเดีย ประเทศจีน หรือประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ เนื่องจากหากนักท่องเที่ยวถูกสัตว์กัดแล้ว การหาวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า Immunoglobulin เพื่อฉีด  อาจทำได้ยากมาก จึงควรพิจารณาให้วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าก่อนการสัมผัสโรค


    วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอีกเสบเอ (
    Hepatitis A Vaccine)
     ไวรัสตับอีกเสบเอ เป็นโรคติดต่อ ผ่านการกินอาหารหรือน้ำ ที่มีการปนเปื้อนไวรัสดังกล่าว ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเด็กมักจะไม่แสดงอาการ แต่อาการแสดงออกมากและมักจะรุนแรงได้ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ซึ่งในสมัยก่อนโรคนี้พบได้มากในประเทศไทย ทำให้ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40-50 ปี ขึ้นไป ส่วนใหญ่ จะมีภูมิคุ้มกันการติดเชื้อโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันการสาธารณสุขและการสุขาภิบาลของประเทศไทยดีขึ้นมาก ทำให้อัตราการติดเชื้อในธรรมชาติของเด็ก วัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นมีน้อยลง  ดังนั้นจึงแนะนำให้วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ ในประชากรกลุ่มดังกล่าวต้องเดินทางไปในประเทศกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ คือประเทศในทวีปแถบเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
    แถบเอเชียใต้ และประเทศในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ วัคซีนดังกล่าวต้องฉีด 2 เข็ม โดยมีระยะเวลาห่างกัน 6-12 เดือน

    วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (
    Meningococcal Vaccine)
     เป็นวัคซีนเฉพาะที่แนะนำให้ใช้ในนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม คือ
    - นักท่องเที่ยวที่จะไปในทวีปแอฟริกา บริเวณที่เรียกว่า Meningitis belt เช่น ประเทศซูดาน  ไนจีเรีย  เอธิโอเปีย ฯลฯ
    - นักเรียน นักศึกษาไทย ที่จะไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีข้อกำหนดให้ต้องฉีดวัคซีนชนิดนี้ต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่จะต้องไปอยู่หอพัก
    - ผู้แสวงบุญที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งประเทศซาอุดิอาระเบีย ได้กำหนดไว้ว่า ทุกคนที่เข้าไปแสวงบุญจำเป็นต้องฉีดวัคซีนนี้ก่อนไป

    วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)
     ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา ได้มีการรณรงค์ ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในประชาชนทั่วไป และในประเทศไทยเอง กระทรวงสาธารณสุขก็มีการสนับสนุนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีสำหรับประชาชนในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถพิจารณาฉีดได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีการเดินทางหรือไม่ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มว่าจะต้องเข้าไปในที่ชุมนุมชนหรือในสถานที่แออัด มีคนเป็นจำนวนมาก เช่น ผู้ที่จะไปเข้าร่วมพิธีแสวงบุญ ผู้จะไปชมกีฬา ไปเที่ยวงานเทศกาลต่างๆ สมควรพิจารณาฉีดวัคซีนนี้


    วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค (
    Cholera Vaccine)
     เป็นวัคซีนที่ไม่แนะนำให้ใช้ในนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป เนื่องจากโอกาสที่จะติดเชื้ออหิวาตกโรคระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวมีน้อยมาก อย่างไรก็ตามแพทย์จะพิจารณาให้ฉีดวัคซีนนี้แก่นักท่องเที่ยวบางกลุ่มคือ กลุ่มที่ต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือเข้าไปทำงานในค่ายผู้อพยพลี้ภัยหรือเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชน ในเขตพื้นที่ทุรกันดาร ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคชนิดรับประทาน โดยต้องดื่มวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 1-6 สัปดาห์

    วัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (
    MMR) ถ้าหากไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้มาก่อน และไม่เคยมีการติดเชื้อตามธรรมชาติ (หรือไม่แน่ใจว่าเคยเป็นมาก่อนหรือไม่) ควรรับการฉีด MMR 2 เข็ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง โดยไม่จำเป็นต้องตรวจระดับภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน ซึ่งจะแนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศกำลังพัฒนา

    ทั้งนี้ ควรพิจารณาจากเขตพื้นที่ หรือฤดูกาล ของสถานที่ที่กำลังจะเดินทางไป และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำ ในการรับวัคซีน และควรตรวจสุขภาพก่อนออกเดินทาง



    สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม
    Line official account : Paolo Hospital Kaset
    Line ID : @paolokaset