งดเว้นการเดินทางไกล ๆ
โดยเฉพาะเส้นทางที่ต้องใช้การเดินทางติดต่อกันหลายชั่วโมง เพราะอาจทำให้คุณแม่อึดอัดและไม่สบายตัวสำหรับการเดินทาง หากจำเป็นจริงๆ ควรหยุดพักเป็นระยะทุกๆ 2 ชั่วโมงเพื่อยืดเส้นยืดสาย เช่น หากเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถไฟ แต่หากเดินทางด้วยเครื่องบินซึ่งอาจจะมีความอึดอัดมากกว่า ควรขยับตัวหรือลุกเดินทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี
ไม่ควรเดินทางไกลช่วงใกล้คลอด
โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่ 7 เป็นต้นไป ซึ่งสายการบินส่วนใหญ่จะไม่อนุญาตให้คนท้องขึ้นเครื่องบิน หรืออาจจะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าคุณแม่แข็งแรงปลอดภัยและไม่มีแนวโน้มที่จะคลอดก่อนกำหนด ซึ่งหากคุณแม่ต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ควรเช็คกฎการเดินทางให้แน่ใจก่อน เพราะหากไม่ทำตามกฎระเบียบที่แต่ละสายการบินกำหนดไว้ คุณแม่อาจถูกปฏิเสธการเดินทางได้ทุกเมื่อ และหากเป็นช่วงเวลาอื่นก็ควรแจ้งสายการบินให้ทราบแต่เนิ่นๆ ว่ากำลังตั้งครรภ์ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีระหว่างเดินทางแล้ว ยังปลอดภัยสำหรับทั้งคุณแม่และลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ด้วย
หากมีภาวะเสี่ยงใด ๆ ไม่ควรเดินทาง
เพราะการเดินทางอาจนำมาซึ่งอันตรายได้เสมอ ยิ่งมีภาวะแทรกซ้อนหรือความเสี่ยงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น เช่น รกเกาะต่ำ ปากมดลูกไม่แข็งแรง เคยมีประวัติแท้งมาก่อน หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณแม่ไม่ควรเดินทางไกลทั้งสิ้น
เลี่ยงเดินทางไปในที่อากาศน้อยหรือโลดโผน
โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นภูเขาสูง ซึ่งมีออกซิเจนน้อยลง หรือต้องเดินทางหลากหลายรูปแบบ เช่น ทางเครื่องบิน ลงเรือ เป็นต้น เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายทั้งต่อตัวคุณแม่เองรวมทั้งเด็กน้อยในครรภ์ด้วย ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 16-28 สัปดาห์ เป็นช่วงไตรมาสสองของการตั้งครรภ์ ซึ่งผ่านพ้นช่วงที่คุณแม่มีอาการแพ้ท้อง และคุณแม่ได้ปรับตัวมาสักระยะหนึ่งแล้ว ในช่วงไตรมาสสองเป็นเวลาที่อายุครรภ์ยังไม่มาก สรีระร่างกายยังไม่อุ้ยอ้ายหรือเกิดภาวะเสี่ยงมาก จึงค่อนข้างปลอดภัยสำหรับการเดินทาง แต่เพื่อความไม่ประมาทควรปรึกษาคุณหมอก่อนทุกครั้ง