“MRI กับ CT Scan” เป็นเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย และสามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ซึ่งแพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะได้ทุกส่วนของร่างกาย ผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีความคมชัดสูง ซึ่งเป็นวิธีการตรวจค้นหารอยโรคที่เพิ่มโอกาสทางการรักษาโรคร้ายให้กับผู้ป่วยได้ เพราะหากตรวจพบในระยะเริ่มต้น ก็อาจรักษาให้หายขาดได้
MRI หรือ CT Scan เหมาะกับใคร
เหมาะกับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดอุดตัน รวมถึงการมีไลฟ์สไตล์ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค ไม่ว่าจะ ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น
MRI กับ CT Scan ต่างกันหรือไม่
การตรวจ CT Scan เป็นการตรวจที่มีความซับซ้อนมากกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา โดยแพทย์จะฉายรังสีเอกซเรย์ไปยังบริเวณที่ต้องการตรวจบนร่างกาย เพื่อดูอวัยวะภายใน และทำการตรวจวินิจฉัยโรคหรือติดตามโรคเป็นระยะๆ ซึ่งการตรวจ CT Scan จะเป็นการตรวจที่มีความละเอียดมากกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา โดยจะแสดงเป็นภาพ 3 มิติ ที่สามารถมองเห็นอวัยวะภายในร่างกายได้เกือบทุกส่วน
CT Scan ตรวจอะไรได้บ้าง
แต่การตรวจ MRI เป็นการตรวจที่ใช้สนามแม่เหล็ก และคลื่นวิทยุที่มีความเข้มสูงในการสร้างภาพเสมือนจริงของอวัยวะภายต่างๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะ สมอง หัวใจ กระดูก กล้ามเนื้อ และส่วนที่ผิดปกติ ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นจุดที่ผิดปกติในร่างกายได้ชัดเจน และสามารถตรวจวินิจฉัยรอยโรคได้อย่างตรงจุดมากขึ้น โดยผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ ที่มีภาพคมชัดสูง ทั้งแนวขวาง แนวยาว และแนวเอียง เป็นภาพ 3 มิติ ซึ่งมีความละเอียดมากกว่าการตรวจ CT Scan และเป็นวิธีที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวกับผู้ป่วย
MRI ตรวจอะไรได้บ้าง
ข้อจำกัดในการตรวจ MRI กับ CT Scan
เพราะฉะนั้น หมั่นตรวจ screening ร่างกายของตัวเองอยู่เสมอ โดยไม่ต้องยึดติดว่าตัวเองไม่มีความเสี่ยงหรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพราะหากคุณละเลยสิ่งเหล่านี้ อาจทำให้โรคร้ายเหล่านี้หันกลับมาทำลายคุณภาพชีวิตของคุณให้แย่ลงได้