เมื่อไหร่ถึงต้องไปคลินิกผู้มีบุตรยาก?
ลองประเมินตัวเองเบื้องต้นถึงความพยายามในการมีลูก เช่น มีเพศสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ซึ่งปกติจะมีโอกาสในการตั้งครรภ์ 50% ภายในระยะเวลา 5 เดือน และเพิ่มเป็น 80-90% ในระยะเวลาหนึ่งปี หากยังไม่สามารถตั้งครรภ์ก็ควรมาพบแพทย์ หรือพบว่าตนเองมีอายุมากขึ้น และไม่อยากเสี่ยงมีลูกตอนอายุมาก หรือไม่แน่ใจว่าตนเองมีภาวะมีบุตรยากหรือไม่ ก็สามารถนัดพบแพทย์เพื่อทำการปรึกษาเรื่องการมีบุตรได้ทันที ซึ่งคลินิกผู้มีบุตรยากจะมีทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ ห้องปฏิบัติการและเทคโนโลยีต่างๆ สำหรับช่วยเหลือผู้มีภาวะมีบุตรยากหลากหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ ปัญหาของผู้มีบุตรยาก และงบประมาณในการรักษา
แพทย์จะเริ่มทำการรักษาอย่างไร?
โดยปกติแล้วแพทย์จะทำการซักประวัติของคู่สามี-ภรรยาที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยาก สอบถามประวัติทางการแพทย์ แล้วทำการตรวจร่างกายทั้งสองฝ่าย เพื่อหาสาเหตุเบื้องต้นของการมีบุตรยากก่อน เช่น ฝ่ายชาย จะมีการตรวจเชื้ออสุจิ ตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนเพศ และตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือในฝ่ายหญิง ก็จะทำการตรวจภายในหรืออัลตร้าซาวด์เพื่อหาความผิดปกติของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน ตั้งแต่ มดลูก ท่อนำไข่ ผนังมดลูก ฯลฯ และตรวจเลือดเช็คระดับฮอร์โมนเพศ ตรวจหาความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หากพบความผิดปกติที่ไหนก็อาจจะมีการผ่าตัดรักษาต่อไป
แนวทางการรักษาของคลินิกผู้มีบุตรยาก
หลังจากแพทย์ทำการตรวจเบื้องต้น หากพบสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ก็จะทำการรักษา เช่น ให้รับประทานยา ผ่าตัดเพื่อแก้ไขส่วนที่มีปัญหานั้น และจะใช้ความพยายามในการรักษาต่อไป โดยมากแพทย์จะให้ใช้วิธีธรรมชาติก่อน เช่น การทานยากระตุ้นการตกไข่ร่วมกับการนับวันตกไข่สำหรับเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ แต่หากรักษาต่อเนื่องไป 3-6 ครั้งแล้วมีแนวโน้มว่ายังไม่สำเร็จ แพทย์ก็อาจจะแนะนำให้ใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ตามมา ดังนี้
1. การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก หรือผสมเทียม (Intra-Uterine Insemination: IUI)
2. การทำกี๊ฟ (Gamete Intra-Fallopian Transfer : GIFT)
3. การทำเด็กหลอดแก้ว (InVitro Fertilization : IVF) และ (IntraCytoplasmic Sperm Injection: ICSI)