มะเร็งปากมดลูก เป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของผู้หญิงทั่วโลก แต่ข่าวดีคือเราสามารถป้องกันและตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นหากได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ การทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงและวิธีการตรวจที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงปัจจัยเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก และทำความรู้จักกับ 2 วิธีการตรวจที่ได้รับความนิยมคือ ThinPrep และ HPV DNA Test ว่าคืออะไรแตกต่างกันอย่างไร และวิธีไหนที่เหมาะสมกับแต่ละคนที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
ทำความรู้จักและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคนี้คือพฤติกรรมที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรค โดยมีปัจจัยหลักๆ ดังนี้
- การติดเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการเกิดมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง การติดเชื้อ HPV มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์
- การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย การเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
- การมีคู่นอนหลายคน เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
- ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน จะมีโอกาสติดเชื้อ HPV และพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ง่ายขึ้น
- ประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หรือหนองใน
- การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก ถึง 2 เท่า
- การละเลยการตรวจภายใน การไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจหาหรือวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีการต่างๆ
การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก หรือภาวะก่อนเป็นมะเร็งสามารถทำได้หลายวิธี
- การตรวจภายใน หากแพทย์พบก้อนหรือความผิดปกติที่ปากมดลูก จะมีการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจทางเซลล์วิทยา เป็นการเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกไปตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ ซึ่งรวมถึงการตรวจ ThinPrep และการตรวจ Pap smear
- การตรวจหาเชื้อ HPV ระดับ DNA เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV โดยตรงจากตัวอย่างเซลล์ที่เก็บได้
- การตรวจด้วยกล้องขยาย (Colposcopy) เป็นการส่องกล้องดูปากมดลูกอย่างละเอียดเมื่อพบความผิดปกติจากการตรวจคัดกรอง อาจมีการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจร่วมด้วย
- การตรวจอื่นๆ เช่น การขูดภายในบริเวณปากมดลูก, การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า (LEEP), หรือการตัดปากมดลูกออกเป็นกรวยด้วยขดลวดไฟฟ้า (Conization)
ThinPrep กับ HPV DNA Test ต่างกันอย่างไร?
สองวิธีหลักในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ที่ได้รับความนิยมและมีความแม่นยำสูงคือ การตรวจ ThinPrep และ การตรวจ HPV DNA ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลักการทำงาน
1. การตรวจ ThinPrep
เป็นการเก็บตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ เป็นวิธีการทางเซลล์วิทยาที่พัฒนามาจาก Pap smear แบบดั้งเดิม
- จุดเด่น มีความแม่นยำสูงกว่า Pap smear ปกติ เนื่องจากวิธีการเก็บและเตรียมตัวอย่างที่ดีกว่า ทำให้ได้เซลล์ที่มีคุณภาพสำหรับการวินิจฉัยมากขึ้น และลดโอกาสผลลบลวง
- ข้อจำกัด ยังคงเป็นการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ไม่ใช่การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV โดยตรง ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุได้ว่าติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ใด หรือตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เลย
2. การตรวจ HPV DNA Test
เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรม (DNA) ของเชื้อไวรัส HPV ที่เกาะอยู่บนผิวปากมดลูก
- สามารถระบุสายพันธุ์ของเชื้อ HPV ที่ติดเชื้อได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง
- สามารถตรวจพบการติดเชื้อ HPV ได้ตั้งแต่ระยะก่อนที่เซลล์จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็ง ทำให้สามารถป้องกันหรือเฝ้าระวังได้อย่างทันท่วงที
- เป็นวิธีที่แม่นยำสูง ในการตรวจหาต้นตอของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
- ข้อจำกัด การตรวจพบ DNA ของเชื้อ HPV ไม่ได้หมายความว่าเซลล์จะกลายเป็นมะเร็งเสมอไป ผู้ติดเชื้อ HPV บางรายสามารถกำจัดเชื้อได้เอง
เลือกการตรวจแบบไหนดีที่สุด?
ทั้ง ThinPrep และ HPV DNA Test เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพ แต่มีจุดประสงค์และขีดความสามารถที่แตกต่างกัน
- ThinPrep เหมาะสำหรับการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ ที่อาจนำไปสู่มะเร็ง
- HPV DNA Test เหมาะสำหรับการตรวจหาต้นตอของการเกิดมะเร็งปากมดลูก คือเชื้อ HPV โดยตรง และสามารถระบุสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงได้
แนวทางที่แนะนำมากที่สุด เพื่อการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่ครอบคลุมและแม่นยำคือการตรวจ ThinPrep ร่วมกับ HPV DNA Test (Co-testing) ซึ่งจะช่วยให้ตรวจพบทั้งเชื้อไวรัสและการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้สามารถวางแผนการรักษาหรือเฝ้าระวังได้อย่างเหมาะสมที่สุด
การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อประเมินความเสี่ยงและเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมกับอายุและปัจจัยส่วนบุคคล จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าละเลยการตรวจภายใน และการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคร้าย