รักษาอาการบาดเจ็บหรือปวดเมื่อย ด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
11-ต.ค.-2567

รักษาอาการบาดเจ็บหรือปวดเมื่อย ด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave

เมื่อพูดถึงอาการเจ็บปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เอ็น หรือตำแหน่งต่างๆ บนร่างกาย หลายคนคงเคยประสบปัญหาที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น หรือต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูที่นาน ซึ่งอาจรบกวนคุณภาพชีวิตไม่น้อย แต่ในปัจจุบันมีอีกหนึ่งเครื่องมือที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในการทำกายภาพบำบัดคือ "การทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave ที่เราจะแนะนำให้รู้จักกันในวันนี้

 


ทำความรู้จักกับ “กายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave”

การบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Shockwave คือการส่งพลังงานคลื่นกระแทกไปยังบริเวณที่มีอาการปวด เข้าสู่เนื้อเยื่อในจุดที่เกิดการบาดเจ็บ โดยหลักการของการบำบัดด้วยวิธีนี้จะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บใหม่ หลังจากที่จุดที่บาดเจ็บได้รับคลื่นกระแทก ร่างกายจะเริ่มกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ วิธีนี้จะช่วยลดอาการอักเสบที่ส่งผลให้เกิดอาการปวด และยังเพิ่มการไหลเวียนเลือดในจุดบริเวณดังกล่าวที่ทำการส่งคลื่นกระแทกไป

ซึ่งการบำบัดด้วยคลื่นกระแทกแบบ Radial Shockwave จะเป็นคลื่นกระแทกที่กระจายวงกว้าง จากการใช้แหล่งกำเนิดแบบปั๊มลม ใช้ในการรักษาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน กล้ามเนื้อ และเอ็นที่อยู่ตื้นๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งพลังงานของคลื่นกระแทกจะลดลงเรื่อยๆ ตามความลึกของเนื้อเยื่อ ทำให้ไม่มีผลกระทบร้ายแรงถึงชั้นกระดูก

 

กำหนดความลึกของการรักษา Radial Shockwave ด้วย “Transmitter”

การบำบัดด้วยคลื่นกระแทกแบบ Radial Shockwave จะสามารถกำหนดความลึกของคลื่นที่จะเข้าไปกระแทกและทำการรักษาซ่อมแซมเนื้อเยื่อในจุดที่มีอาการปวดได้ ผ่านตัวกำหนดความลึก Transmitter ที่เลือกใช้ โดย Transmitter ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่ คือ

- R15 : ลงลึกได้สูงสุด 3.5 เซนติเมตร นิยมใช้บริเวณรอยโรคทั่วไปหรือรักษาเฉพาะจุด

- DI 15 : ลงลึกได้สูงสุด 5 เซนติเมตร นิยมใช้บริเวณรอยโรคที่อยู่ลึกหรือโรคเรื้อรัง

- D20-s : ลงลึกได้สูงสุด 5 เซนติเมตร นิยมใช้บริเวณพื้นที่กว้างหรือกล้ามเนื้อมัดใหญ่

 


ทำไมถึงต้องกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave?

การบำบัดด้วย Shockwave โดยเฉพาะ Radial Shockwave นั้นมีข้อดีหลายประการ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาทางเลือกในการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด หากถามว่าทำไมถึงต้อง Radial Shockwave ก็เพราะว่า :

  • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต : คลื่นกระแทกช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ส่งผลให้บริเวณที่บาดเจ็บได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ ซึ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาปกติไวขึ้น
  • เร่งการซ่อมแซมเซลล์ : คลื่นกระแทกช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่เพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย
  • ลดการอักเสบ : ช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวด เนื่องจากอาการปวดมักมีสาเหตุจากการอักเสบตรงบริเวณจุดนั้นๆ หากลดการอักเสบได้อาการปวดก็จะทุเลาลง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้นหลังการบำบัด
  • ลดความเสียหายต่อร่างกายจากการผ่าตัด : สำหรับใครที่กลัวการผ่าตัด Radial Shockwave เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ทั้งยังช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างตรงจุด ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

 

Radial Shockwave เหมาะสำหรับการบำบัดโรคใดบ้าง?

  1.  กระดูกงอกบริเวณส้นเท้า, พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบหรือรองช้ำ (Plantar Fasciitis)
  2.  มีอาการปวดข้อไหล่แบบมีหรือไม่มีหินปูนเกาะ (Calcific tendinitis)
  3.  เอ็นร้อยหวายอักเสบ (Achilles tendinitis)
  4.  อาการอักเสบบริเวณสะโพก (Trochanteric bursitis)
  5.  เอ็นต้นขาด้านข้างอักเสบ (Proximal iliotibial band friction syndrome)
  6.  โรคเอ็นข้อศอกอักเสบ (Radial / Ulnar humeral epicondylitis)
  7.  อาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกสะบ้า (Patellar tip syndrome)
  8.  อาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกหน้าแข้ง (Tibial edge syndrome)
  9.  รอยโรคที่จุดเกาะของเอ็นกล้ามเนื้อ/เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ
  10.  รักษาจุดกดเจ็บ (Trigger points) ของกล้ามเนื้อมัดลึกและมัดตื้น
  11.  โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Myofascial pain syndrome)
  12.  ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)

 การรักษาในแต่ละโรค จะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์และนักกายภาพบำบัดที่ชำนาญการ รวมถึงสังเกตความเปลี่ยนแปลงหรือผลของการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการรักษาในแต่ละโรค

 


ข้อห้ามและข้อควรระวังในการทำ Radial Shockwave

ข้อควรระวังในการทำ Radial Shockwave :

  1.  ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)
  2.  ผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ เป็นไข้ (Infection, Fever)
  3.  บริเวณที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  4.  ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Take anti-coagulants)
  5.  มีภาวะเลือดออกที่ไม่สามารถควบคุมได้ (Uncontrolled hemorrhagic diathesis)
  6.  บริเวณที่ได้รับการฉีดสเตียรอยด์ ต้องเว้นห่าง 6 สัปดาห์ (เฉพาะบริเวณที่ฉีด)
  7.  บริเวณส่วนคอด้านหน้าที่มีต่อมไทรอยด์ และหลอดเลือดแดงคาโรติค
  8.  บริเวณที่มีอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน (Acute inflammation)
  9.  บริเวณปุ่มกระดูก เส้นเลือดใหญ่ และเส้นประสาท (Bony prominence, Big vessel, Big nerve)
  10.  ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเรื่องความดันโลหิต (Unstable blood pressure)
  11.  บริเวณที่กระดูกหักหรือมีแผลเปิดอยู่ (Fracture, Wound)

 

ข้อห้ามสำหรับการทำ Radial Shockwave :

  1.  ผู้ป่วยมะเร็ง (Cancer)
  2.  มีเนื้องอกในบริเวณที่ทำการรักษา Malignant tumor (not as underlying disease)
  3.  หญิงที่ตั้งครรภ์ห้ามทำบริเวณท้องและหลังส่วนล่าง (Pregnancy)
  4.  บริเวณสมองหรือกระดูกสันหลัง (Brain or Spine in the treatment area)
  5.  บริเวณปุ่มกระดูกที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ในเด็ก (Epiphyseal plate)
  6.  เส้นเลือดขอดระยะรุนแรง (Severe coagulopathy)
  7.  โรคเลือดจับตัวเป็นก้อน (Hemophilia)

 

ขั้นตอนการทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave

  1.  การประเมินก่อนการรักษา : แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะตรวจสอบสภาพของผู้ป่วย เพื่อตรวจหาบริเวณที่มีอาการปวดและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  2.  การเตรียมตัวก่อนการทำ : ผู้ที่เข้ารับการทำกายภาพจะต้องสวมเครื่องแต่งกายที่สะดวกต่อการทำ และกำหนดท่าทางเพื่อให้สะดวกต่อการทำกายภาพในจุดที่ต้องการ จากนั้นนักกายภาพจะทาเจลบนผิวหนังเพื่อช่วยให้การนำคลื่นเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
  3.  การทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก : นักกายภาพจะปรับค่าความลึกของคลื่นที่จะเข้าไปกระแทกกับจุดที่มีอาการให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละราย จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะใช้เครื่องส่งคลื่นกระแทกทำการปล่อยคลื่นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ คลื่นกระแทกจะถูกปล่อยลงไปในเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการฟื้นฟูเซลล์ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อจุด
  4.  การประเมินหลังการรักษา : หลังทำการรักษา นักกายภาพจะตรวจสอบอาการของผู้ป่วยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังการทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้กลับมาปกติโดยเร็วที่สุด

การรักษาด้วย Radial Shockwave มักต้องทำซ้ำประมาณ 3-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 3 วันต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วย หลังการบำบัดอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้มักจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง




การทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการเจ็บปวดที่เกิดจากการใช้งานร่างกายหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบของเอ็น หรืออาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการทำกายภาพบำบัดในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ควรได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดผู้ชำนาญก่อนทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าวิธีนี้เหมาะสมกับอาการที่คุณเป็น
              ทั้งนี้ โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ พร้อมยินดีให้บริการทุกท่านที่มีความต้องการทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave ซึ่งสามารถทำได้ทุกวัน เวลา 08.00 - 19.00 น. ยกเว้นวันอังคารและวันพฤหัส หากใครมีความต้องการสามารถเข้ารับบริการได้ที่ แผนกกายภาพบำบัด อาคาร 1 ชั้น 2 โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ

 
บทความโดย
นักกายภาพบำบัด
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
แผนก กายภาพบำบัด 
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ 
โทร. 02-363-2000 ต่อ 3313-3314
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆได้ที่
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn