รักษาอาการบาดเจ็บหรือปวดเมื่อย ด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave
เมื่อพูดถึงอาการเจ็บปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เอ็น หรือตำแหน่งต่างๆ บนร่างกาย หลายคนคงเคยประสบปัญหาที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น หรือต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูที่นาน ซึ่งอาจรบกวนคุณภาพชีวิตไม่น้อย แต่ในปัจจุบันมีอีกหนึ่งเครื่องมือที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในการทำกายภาพบำบัดคือ "การทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave ที่เราจะแนะนำให้รู้จักกันในวันนี้

ทำความรู้จักกับ “กายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave”
การบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Shockwave คือการส่งพลังงานคลื่นกระแทกไปยังบริเวณที่มีอาการปวด เข้าสู่เนื้อเยื่อในจุดที่เกิดการบาดเจ็บ โดยหลักการของการบำบัดด้วยวิธีนี้จะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บใหม่ หลังจากที่จุดที่บาดเจ็บได้รับคลื่นกระแทก ร่างกายจะเริ่มกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ วิธีนี้จะช่วยลดอาการอักเสบที่ส่งผลให้เกิดอาการปวด และยังเพิ่มการไหลเวียนเลือดในจุดบริเวณดังกล่าวที่ทำการส่งคลื่นกระแทกไป
ซึ่งการบำบัดด้วยคลื่นกระแทกแบบ Radial Shockwave จะเป็นคลื่นกระแทกที่กระจายวงกว้าง จากการใช้แหล่งกำเนิดแบบปั๊มลม ใช้ในการรักษาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน กล้ามเนื้อ และเอ็นที่อยู่ตื้นๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งพลังงานของคลื่นกระแทกจะลดลงเรื่อยๆ ตามความลึกของเนื้อเยื่อ ทำให้ไม่มีผลกระทบร้ายแรงถึงชั้นกระดูก
กำหนดความลึกของการรักษา Radial Shockwave ด้วย “Transmitter”
การบำบัดด้วยคลื่นกระแทกแบบ Radial Shockwave จะสามารถกำหนดความลึกของคลื่นที่จะเข้าไปกระแทกและทำการรักษาซ่อมแซมเนื้อเยื่อในจุดที่มีอาการปวดได้ ผ่านตัวกำหนดความลึก Transmitter ที่เลือกใช้ โดย Transmitter ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่ คือ
- R15 : ลงลึกได้สูงสุด 3.5 เซนติเมตร นิยมใช้บริเวณรอยโรคทั่วไปหรือรักษาเฉพาะจุด
- DI 15 : ลงลึกได้สูงสุด 5 เซนติเมตร นิยมใช้บริเวณรอยโรคที่อยู่ลึกหรือโรคเรื้อรัง
- D20-s : ลงลึกได้สูงสุด 5 เซนติเมตร นิยมใช้บริเวณพื้นที่กว้างหรือกล้ามเนื้อมัดใหญ่

ทำไมถึงต้องกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave?
การบำบัดด้วย Shockwave โดยเฉพาะ Radial Shockwave นั้นมีข้อดีหลายประการ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาทางเลือกในการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด หากถามว่าทำไมถึงต้อง Radial Shockwave ก็เพราะว่า :
- กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต : คลื่นกระแทกช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ส่งผลให้บริเวณที่บาดเจ็บได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ ซึ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาปกติไวขึ้น
- เร่งการซ่อมแซมเซลล์ : คลื่นกระแทกช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่เพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย
- ลดการอักเสบ : ช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวด เนื่องจากอาการปวดมักมีสาเหตุจากการอักเสบตรงบริเวณจุดนั้นๆ หากลดการอักเสบได้อาการปวดก็จะทุเลาลง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้นหลังการบำบัด
- ลดความเสียหายต่อร่างกายจากการผ่าตัด : สำหรับใครที่กลัวการผ่าตัด Radial Shockwave เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ทั้งยังช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างตรงจุด ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
Radial Shockwave เหมาะสำหรับการบำบัดโรคใดบ้าง?
- กระดูกงอกบริเวณส้นเท้า, พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบหรือรองช้ำ (Plantar Fasciitis)
- มีอาการปวดข้อไหล่แบบมีหรือไม่มีหินปูนเกาะ (Calcific tendinitis)
- เอ็นร้อยหวายอักเสบ (Achilles tendinitis)
- อาการอักเสบบริเวณสะโพก (Trochanteric bursitis)
- เอ็นต้นขาด้านข้างอักเสบ (Proximal iliotibial band friction syndrome)
- โรคเอ็นข้อศอกอักเสบ (Radial / Ulnar humeral epicondylitis)
- อาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกสะบ้า (Patellar tip syndrome)
- อาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกหน้าแข้ง (Tibial edge syndrome)
- รอยโรคที่จุดเกาะของเอ็นกล้ามเนื้อ/เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ
- รักษาจุดกดเจ็บ (Trigger points) ของกล้ามเนื้อมัดลึกและมัดตื้น
- โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Myofascial pain syndrome)
- ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)
การรักษาในแต่ละโรค จะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์และนักกายภาพบำบัดที่ชำนาญการ รวมถึงสังเกตความเปลี่ยนแปลงหรือผลของการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการรักษาในแต่ละโรค

ข้อห้ามและข้อควรระวังในการทำ Radial Shockwave
ข้อควรระวังในการทำ Radial Shockwave :
- ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)
- ผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ เป็นไข้ (Infection, Fever)
- บริเวณที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
- ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Take anti-coagulants)
- มีภาวะเลือดออกที่ไม่สามารถควบคุมได้ (Uncontrolled hemorrhagic diathesis)
- บริเวณที่ได้รับการฉีดสเตียรอยด์ ต้องเว้นห่าง 6 สัปดาห์ (เฉพาะบริเวณที่ฉีด)
- บริเวณส่วนคอด้านหน้าที่มีต่อมไทรอยด์ และหลอดเลือดแดงคาโรติค
- บริเวณที่มีอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน (Acute inflammation)
- บริเวณปุ่มกระดูก เส้นเลือดใหญ่ และเส้นประสาท (Bony prominence, Big vessel, Big nerve)
- ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเรื่องความดันโลหิต (Unstable blood pressure)
- บริเวณที่กระดูกหักหรือมีแผลเปิดอยู่ (Fracture, Wound)
ข้อห้ามสำหรับการทำ Radial Shockwave :
- ผู้ป่วยมะเร็ง (Cancer)
- มีเนื้องอกในบริเวณที่ทำการรักษา Malignant tumor (not as underlying disease)
- หญิงที่ตั้งครรภ์ห้ามทำบริเวณท้องและหลังส่วนล่าง (Pregnancy)
- บริเวณสมองหรือกระดูกสันหลัง (Brain or Spine in the treatment area)
- บริเวณปุ่มกระดูกที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ในเด็ก (Epiphyseal plate)
- เส้นเลือดขอดระยะรุนแรง (Severe coagulopathy)
- โรคเลือดจับตัวเป็นก้อน (Hemophilia)
ขั้นตอนการทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave
- การประเมินก่อนการรักษา : แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะตรวจสอบสภาพของผู้ป่วย เพื่อตรวจหาบริเวณที่มีอาการปวดและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- การเตรียมตัวก่อนการทำ : ผู้ที่เข้ารับการทำกายภาพจะต้องสวมเครื่องแต่งกายที่สะดวกต่อการทำ และกำหนดท่าทางเพื่อให้สะดวกต่อการทำกายภาพในจุดที่ต้องการ จากนั้นนักกายภาพจะทาเจลบนผิวหนังเพื่อช่วยให้การนำคลื่นเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
- การทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก : นักกายภาพจะปรับค่าความลึกของคลื่นที่จะเข้าไปกระแทกกับจุดที่มีอาการให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละราย จากนั้นนักกายภาพบำบัดจะใช้เครื่องส่งคลื่นกระแทกทำการปล่อยคลื่นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ คลื่นกระแทกจะถูกปล่อยลงไปในเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการฟื้นฟูเซลล์ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อจุด
- การประเมินหลังการรักษา : หลังทำการรักษา นักกายภาพจะตรวจสอบอาการของผู้ป่วยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังการทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้กลับมาปกติโดยเร็วที่สุด
การรักษาด้วย Radial Shockwave มักต้องทำซ้ำประมาณ 3-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 3 วันต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วย หลังการบำบัดอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้มักจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง

การทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการเจ็บปวดที่เกิดจากการใช้งานร่างกายหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบของเอ็น หรืออาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการทำกายภาพบำบัดในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ควรได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดผู้ชำนาญก่อนทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าวิธีนี้เหมาะสมกับอาการที่คุณเป็น
ทั้งนี้ โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ พร้อมยินดีให้บริการทุกท่านที่มีความต้องการทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก Radial Shockwave ซึ่งสามารถทำได้ทุกวัน เวลา 08.00 - 19.00 น. ยกเว้นวันอังคารและวันพฤหัส หากใครมีความต้องการสามารถเข้ารับบริการได้ที่ แผนกกายภาพบำบัด อาคาร 1 ชั้น 2 โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
บทความโดย
นักกายภาพบำบัด
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
แผนก กายภาพบำบัด
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โทร. 02-363-2000 ต่อ 3313-3314
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆได้ที่
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn
(1).png)