title
พูดถึง “ภูมิแพ้” แล้วเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะเคยสัมผัสกับอาการแพ้มาบ้าง ทั้งเรื่องของการ “แพ้อากาศ” “แพ้อาหาร” หรือแม้กระทั่งบางครั้งแพ้แบบไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองแพ้อะไร แต่ที่รู้แน่ชัดก็คือ ตนเป็นภูมิแพ้ และจากการที่ไม่รู้ว่าตนเองแพ้อะไรนั้น ก็ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้ และก็ไม่สามารถทำให้ตนเองหายจากอาการแพ้ได้ด้วย
ดังนั้น การทดสอบภูมิแพ้จึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่จะทำให้เราได้ทราบว่าร่างกายเราแพ้อะไรเพื่อที่เราจะได้รักษาอาการแพ้อย่างถูกวิธี รายละเอียดเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร ไปเรียนรู้โดย พญ.วรวรรณ ดุรงค์พิศิษฏ์กุล กุมารแพทย์ เฉพาะทางโรคภูมิแพ้หอบหืดและวิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 กัน
ภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย
สำหรับภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในเด็ก ๆ นั้นจะมีทั้งภูมิแพ้ที่เกิดกับทางเดินหายใจ เช่นแพ้อากาศ หอบหืด และภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งโดยทั่วไปก็จะขึ้นอยู่กับช่วงอายุ หากเป็นกลุ่มเด็กแรกเกิดหรือเด็กทารก โดยมากก็จะแพ้ในกลุ่ม นมวัว ไข่ขาว แป้งสาลี ถั่วเหลือง ซึ่งก็จะมักจะเกิดปัญหาในด้านของภูมิแพ้ที่เกิดทางผิวหนัง โดยจะมาพบหมอด้วยอาการผื่นคันตามผิวหนัง สำหรับเด็กที่โตขึ้นมาอีกนิด อย่างเด็กก่อนวัยเรียนไปจนถึงเด็กโต ก็มักจะพบปัญหาในเรื่องของภูมิแพ้หอบหืด แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่โดยส่วนมากก็จะพบได้ในกลุ่มแพ้อากาศรวมถึงแพ้อาหาร ซึ่งสิ่งที่คนส่วนมากมักจะแพ้ก็คือ อาหารกลุ่มอาหารทะเล แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับการแพ้นั้นโดยส่วนมากก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยอย่างเช่นช่วงอายุที่เจอ และสิ่งที่แพ้ด้วย เช่นหากเป็นคนยุโรปโดยมากก็จะแพ้อาหารในกลุ่มถั่ว ซึ่งต่างจากคนไทยที่ไม่ค่อยจะพบว่าแพ้ถั่ว แต่จะไปหนักทางแพ้อาหารทะเลเสียมากกว่า
เพราะเหตุใด จึงควรเข้ารับการทดสอบภูมิแพ้
การทดสอบภูมิแพ้นับว่ามีความจำเป็น โดยเฉพาะสำหรับคนที่อาการแพ้มากและแพ้หนัก หรือ กลุ่มคนที่แพ้ทุกสิ่งหรือแพ้หลาย ๆ อย่าง อย่างบางคนสัมผัสหลายอย่างก็แพ้ ทำให้กลัวการแพ้จนไม่กล้ากินอะไร หรือสัมผัสกับสิ่งใดเลยเนื่องจากกลัวการแพ้ แต่หากเราทราบถึงสาเหตุของอาการแพ้ โดยรู้ว่าเราแพ้อะไร เช่น แพ้อาหารทะเล แพ้แป้ง แพ้ไข่ แพ้ไรฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ แพ้ขนสัตว์ เราก็จะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นได้และโอกาสที่จะทรมานจากการแพ้นั้นก็จะลดลงไปด้วย
การทดสอบโรคภูมิแพ้ สำหรับเรื่องของการทดสอบภูมิแพ้จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.Skin Test หรือ การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง โดยแพทย์จะหยดสารที่สงสัยว่าแพ้ลงบนผิวหนังแล้วทิ้งไว้เพื่อดูปฏิกิริยา ซึ่งหากเกิดอาการนูน บวม แดง ก็แปลว่าเราแพ้สิ่งนั้น สำหรับผู้ที่จะใช้วิธีนี้ในการทดสอบภูมิแพ้นั้นหมอแนะนำว่าควรงดยาแก้แพ้ได้ให้ได้ก่อนมาอย่างน้อยสัก 3 – 5 วัน การทดสอบทางผิวหนังนี้มีข้อดีคือ ไม่ต้องรอนานสามารถทราบผลทดสอบได้ในวันนั้นเลยส่วนข้อเสียก็คือ หากผู้ทดสอบเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือก็จะทำยากกว่าผู้ใหญ่
2.Specific IgE การตรวจภูมิแพ้โดยการเจาะเลือด วิธีการนี้จะต้องนำเลือดไปตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งโดยทั่วไปอาจจะใช้เวลาในการรอผลเลือดประมาณ 7 วัน สำหรับการเจาะเลือดตรวจนี้มีข้อดีคือผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดยาแก้แพ้ก่อนมาพบทดสอบ
การรักษาภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แต่ก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาจจะต้องขาดเรียน หรือ ขาดงานเวลาอาการกำเริบ หรือมีผลต่อการนอนพักผ่อน การรักษาที่เหมาะสมด้วยการกินยา พ่นยา หรือฉีดวัคซีนภูมิแพ้ จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันภูมิแพ้จะเวลาในการรักษาประมาณ 3 – 5 ปี โดยระยะแรกแพทย์จะนัดฉีดทุกสัปดาห์ หากดีขึ้นแพทย์จะนัดห่างออกไปเป็นเดือนละครั้งจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรืออาการหาย)
อย่างไรก็ตาม วิธีการดูแลลูกรักให้ห่างไกลจาก “โรคภูมิแพ้” ได้ดีที่สุดก็คือ การป้องกันและหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่แพ้ หากรู้ว่าแพ้สิ่งใดก็ควรเลี่ยงไปเลย แพ้อาหารอะไรก็ไม่กินสิ่งนั้น แพ้ฝุ่นก็หมั่นซักที่นอนทำความสะอาดและถูบ้านบ่อย ๆ แพ้ขนสัตว์ก็หลีกเลี่ยงการเล่นกับสัตว์หรืออาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงบ่อยๆ
ที่สำคัญพยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ทำร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายอยู่เสมอ ก็นับเป็นเกราะชั้นดีในการดูแลสุขภาพได้แล้ว
ข้อมูลโดย
พญ. วรวรรณ ดุรงค์พิศิษฏ์กุล
กุมารแพทย์ เฉพาะทางโรคภูมิแพ้หอบหืดและวิทยาภูมิคุ้มกัน ศูนย์กุมารเวช
โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4
โทร.02-514-4141 ต่อ 1100-1101
Line id : @Paolochokchai4