หลังจากดูค่าความสมบูรณ์ของเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือดกันไปแล้ว ก็ต้องมาต่อกันที่การทำงานของตับ ของไต และมาดูปริมาณกรดยูริกที่เป็นสัญญาณของโรคเก๊าต์ รวมไปถึงปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญมากชนิดหนึ่งของร่างกาย ถ้าพร้อมแล้ว…ไปต่อกันเลย
การตรวจตับ เป็นการตรวจหาค่าเอนไซม์ชนิดหนึ่งในเลือดที่มักจะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อตับหรือตับอ่อนเกิดความเสียหาย โดยแบ่งออกเป็น
ค่าปกติของ SGOT (AST)
ผู้ชาย | 8 - 46 U/L |
ผู้หญิง | 7 - 34 U/L |
ค่าปกติของ SGPT (ALT)
ผู้ชาย | 30 U/L |
ผู้หญิง | 19 U/L |
5. ดูการทำงานของไต
ค่าปกติของ Creatinine
ผู้ชาย | 0.6 - 1.2 mg/dL |
ผู้หญิง | 0.6 - 1.2 mg/dL |
ค่าครีอะตินีนที่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สูงเกิน 4 mg/dL จtบ่งบอกถึงความผิดปกติของไตในขั้นวิกฤตร้ายแรง
ค่าปกติของฮอร์โมนไทรอยด์
TSH | 0.5-5.0 mU/L |
T3 | 80-200 ng/dL |
T4 | 4.5-12.5 µg/dL |
โดยมักพบว่าคนที่มีค่า TSH สูงมักจะมีค่า T3 และ T4 ต่ำ ซึ่งบ่งบอกให้รู้ถึงความเสี่ยงต่อภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือ Hypothyroid แต่ในผู้ที่มีปริมาณ TSH ต่ำ ก็มักพบว่าค่า T3 และ T4 จะเพิ่มสูงกว่าปกติ ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงภาวะ “ไทรอยด์เป็นพิษ” นั่นเอง
ปกติแล้วปริมาณแคลเซียมในเลือดของผู้ใหญ่ จะมีค่ามาตรฐานอยู่ที่ 8.8-10 mg/dL แต่หากตรวจพบว่ามีค่าแตกต่างไปจากนี้ อาจเข้าข่ายภาวะแคลเซียมในเลือดผิดปกติ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคไต วัณโรค โรคมะเร็งที่แพร่กระจายไปที่กระดูก และผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย แต่ทั้งนี้การตรวจปริมาณแคลเซียมในเลือดไม่สามารถบ่งบอกถึงภาวะกระดูกพรุนได้ เพราะต้องอาศัยการตรวจเฉพาะทางเพิ่มเติม
หลักๆ แล้วเราตรวจปัสสาวะเพื่อดูพฤติกรรมการดื่มน้ำนั่นเอง โดยในผู้ที่ร่างกายปกติจะมี ค่าความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะจะอยู่ที่ 1.005-1.030 หากมีค่าเกินกว่าที่กำหนด แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ หรือเราดื่มน้ำน้อยเกินไป
เห็นไหมว่าการทำความเข้าใจค่าต่างๆ ที่ปรากฎในผลตรวจสุขภาพไม่ยากอย่างที่คิด เพราะค่าทุกค่าเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงภาวะสุขภาพของเรา ดังนั้น จากนี้ไป เมื่อได้รับผลการตรวจสุขภาพมาเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป เพราะเราจะเข้าใจได้ว่า สุขภาพในแต่ละอวัยวะของเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ควรปรับพฤติกรรมอย่างไร หรือต้องรีบรักษาแล้ว