title
จากการติดตามผู้ป่วยบางรายที่มาพบแพทย์ตามนัด พบว่ายังมีผู้ป่วยเกิดการอักเสบติดเชื้อที่แผล ภายหลังการผ่าตัด และหลังทำหัตถการ ซึ่งสาเหตุการติดเชื้อที่พบเกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจ และขาดประสบการณ์ในการดูแลแผลที่เท้าของผู้ป่วยและผู้ดูแล รวมทั้งการล้างแผลไม่ถูกวิธี ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย เพิ่มระยะเวลาการรักษา เกิดความวิตกกังวล บางรายอาจสูญเสียอวัยวะได้หากมีอาการติดเชื้อที่รุนแรงมาก เพื่อลดภาวะเสี่ยงในการติดเชื้อ และสูญเสียอวัยวะในภายหลัง การล้างแผลที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ชนิดของการล้างแผล
การล้างแผลแบบแห้ง ใช้สำหรับล้างแผลสะอาด แผลปิด แผลที่ไม่มีการอักเสบ เป็นแผลเล็กๆ
การล้างแผลแบบเปียก ใช้สำหรับล้างแผลที่มีลักษณะเป็นแผลเปิด แผลอักเสบติดเชื้อ การปิดแผลขั้นแรกจะใช้วัสดุที่มีความชื้น เช่น ผ้าก๊อซชุบน้ำเกลือ (0.9% normal saline) ปิดไว้ แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซแห้งอีกครั้ง
วัตถุประสงค์ของการล้างแผล
- เพื่อให้แผลมีสภาวะที่ดี เหมาะแก่การงอกของเนื้อเยื่อ
- ดูดซึมสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำเหลือง หนอง
- จำกัดการเคลื่อนไหว ของแผลให้อยู่นิ่ง
- ให้ความชุ่มชื้น กับพื้นผิวของแผลอยู่เสมอ
- ป้องกันไม่ให้ผ้าปิดแผลติด และดึงรั้งเนื้อเยื่อที่งอกใหม่
- ป้องกันแผล หรือเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่จากสิ่งกระทบกระเทือน
- ป้องกันแผลปนเปื้อนเชื้อโรค จากอุจจาระ ปัสสาวะ หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ
- เป็นการห้ามเลือด
อุปกรณ์ที่ใช้ล้างแผล
ชุดทำแผลที่ผ่านขั้นตอนการทำให้ปราศจากเชื้อ ประกอบด้วยปากคีบชนิดไม่มีเขี้ยว ปากคีบมีเขี้ยว ถ้วยใส่น้ำยา สำลี ผ้าก๊อซ น้ำยาฆ่าเชื้อ เบตาดีน หรือโปรวิดีน ไอโอดีน หรือยาฆ่าเชื้ออื่นๆ ตามแผนการรักษาของแพทย์ น้ำเกลือล้างแผล (โซเดียมคลอไรด์) แอลกอฮอล์ 70% ใช้สำหรับเช็ดผิวหนังรอบๆ พลาสเตอร์ และผ้าพันแผล แต่แผลบางชนิดอาจไม่ต้องใช้
ขั้นตอนการล้างแผลแบบแห้ง
- เปิดแผล โดยใช้มือหยิบผ้าปิดแผล โดยพับส่วนที่สัมผัสแผลอยู่ด้านในทิ้งลงในภาชนะรองรับ
- เปิดชุดทำแผล หยิบปากคีบอันแรกโดยใช้มือจับด้านนอกของผ้าห่อชุดทำแผล หยิบขึ้น แล้วหยิบปากคีบอันที่สอง โดยใช้ปากคีบอันแรกหยิบ และส่งให้มืออีกข้างหนึ่ง โดยให้มือข้างที่ถนัดจับปากคีบมีเขี้ยว กรณีที่ใส่ถุงมือปลอดเชื้อให้ใช้มือหยิบได้เลย
- ใช้ปากคีบไม่มีเขี้ยว คีบสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% ประมาณ 2/3 ของก้อน หรือพอหมาด ส่งต่อปากคีบมีเขี้ยวที่อยู่ต่ำกว่า นำไปเช็ดชิดขอบแผล และวนออกนอกแผลประมาณ 2-3 นิ้ว หากยังไม่สะอาด ให้ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดซ้ำ สำลีที่ใช้ทำความสะอาดแล้วให้ทิ้งลงในภาชนะรองรับ โดยที่ปากคีบไม่สัมผัสภาชนะรองรับ
- ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ และติดพลาสเตอร์ ตามแนวขวางของลำตัว
ขั้นตอนการล้างแผลแบบเปียก
- เปิดแผล โดยใช้มือหยิบผ้าปิดแผลส่วนบนทิ้งลงในภาชนะรองรับ เปิดผ้าปิดแผลชั้นที่ติดกับแผลด้วยปากคีบมีเขี้ยว หากผ้าปิดแผล หรือผ้าก๊อชแห้งติดแผลให้ใช้สำลีชุบน้ำเกลือหยดบนผ้าปิดแผลหรือผ้าก๊อซก่อน เพื่อให้เลือด หรือน้ำเหลืองอ่อนตัว จะช่วยให้ผ้าปิดแผลหลุดง่าย และไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นมาใหม่
- ทำความสะอาดริมขอบแผล เช่นเดียวกับการล้างแผลแบบแห้ง
- ใช้สำลีชุบน้ำเกลือ หรือน้ำยาเช็ดภายในแผลจนสะอาด
- ใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำยาใส่ในแผล เพื่อฆ่าเชื้อโรค ดูดซับสิ่งคัดหลั่ง และให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ
- ปิดแผลด้วยผ้า หรือผ้าก๊อซหุ้มสำลีตามขนาดของแผล และปิดพลาสเตอร์ตามแนวขวางของลำตัว
- สำหรับแผลที่เท้าของผู้เป็นเบาหวาน แพทย์จะต้องประเมินตามสภาพของแผล เช่น หากเป็นแผลผ่าตัดจัดเป็นแผลสะอาด ส่วนแผลที่มีหนอง อักเสบ บวม แดง หรือมีเนื้อตาย ถ้าได้รับการดูแลเอาหนอง หรือตัดเนื้อตายออก และล้างแผลให้สะอาดจากแพทย์โดยไม่มีการติดเชื้อแล้ว จัดว่าเป็นแผลสะอาด
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการดูแลแผล
- ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ หรือเปียกชุ่ม หากแผลชุ่มมากควรเปลี่ยนผ้าปิดแผลใหม่ทันที
- ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเพียงพอเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำ โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ เช่น วิตามินซี เอ และ อี เป็นต้น เพื่อสร้างเนื้อเยื่อ และเสริมความแข็งแรงให้กับแผล
- หากเกิดอาการคัน หรือแพ้พลาสเตอร์ ควรเปลี่ยนชนิดใหม่ ไม่ควรเกาเพราะจะทำให้ผิวหนังรอบแผลช้ำถลอก เกิดการอักเสบ ติดเชื้อลุกลามขยายเป็นแผลกว้างได้
- หากสังเกตว่าแผลมีอาการบวม แดง เริ่มรู้สึกปวดมากขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร.0-2271-7000