“โรคเบาหวาน” เป็นโรคเรื้อรังอันตราย เพราะสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่ออวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สมอง หัวใจ ไต เท้า หรือแม้กระทั่ง “ดวงตา” อย่างที่เรามักได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่า “เบาหวานขึ้นตา” ซึ่งภัยเงียบนี้มักไม่แสดงอาการอย่างชัดเจนในระยะแรก คือส่วนใหญ่แล้วกว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับเบาหวานขึ้นตา เเละภาวะของโรคก็อาจรุนแรงถึงขั้นเสี่ยงตาบอดแล้ว
เจาะลึกต้นตอ “เบาหวานขึ้นตา”
เมื่อภาวะระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงผิดปกติ จะส่งผลให้ผนังหลอดเลือดฝอยเสื่อมทั่วร่างกาย รวมไปถึง “ดวงตา” ซึ่งเมื่อหลอดเลือดในจอประสาทตาเกิดการอักเสบ โป่งพอง มีเลือดและสารต่างๆ รั่วซึมออกมา ก็จะทำให้เซลล์ที่ทำหน้าที่รับการมองเห็นค่อยๆ ถูกทำลาย ผู้ป่วยจึงมักมีสายตาแย่ลงไปจากเดิมนั่นเอง
“เบาหวานขึ้นตา” ร้ายแรงถึงขั้น…ตาบอด!
เมื่อเกิดการรั่วซึมของหลอดเลือดที่จอประสาทตา น้ำและไขมันที่รั่วออกมาจะส่งผลให้จอตาบวม เกิดเป็นอาการตามัว และหากโรคลุกลามมากขึ้นจนเกิดการอุดตันของหลอดเลือด ก็จะทำให้เกิด “ภาวะจอตาขาดเลือด” ตามมา
ซึ่งในจุดนี้ จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสสูญเสียการมองเห็นแบบถาวร
เบาหวานขึ้นตา ร้ายแรง..แต่รักษาได้ด้วยเลเซอร์และการผ่าตัด
1. รักษาด้วยการเลเซอร์
วิธีนี้เป็นแนวทางการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยเลเซอร์จะไปทำลายหลอดเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทำให้หลอดเลือดฝ่อลง ส่งผลให้จอตาที่บวมนั้นยุบลง พร้อมทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเลือดออกในตาเพิ่มขึ้นอีกด้วย
2. รักษาด้วยการผ่าตัด
กรณีที่มีเลือดออกในน้ำวุ้นตา หรือจอตาเกิดการลอกจากพังผืดดึงรั้ง การผ่าตัดวุ้นตาอาจเป็นแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและซ่อมแซมให้จอตาที่ลอกกลับเข้าที่เดิม ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว หากอาการรุนแรงถึงขั้นนี้ สายตาของผู้ป่วยก็มักจะอยู่ในขั้นที่ถูกทำลายไปมากแล้ว
ดูแลใส่ใจ…ก็ห่างไกลภาวะเบาหวานขึ้นตาได้
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน สิ่งสำคัญที่สุด คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยดูแลใส่ใจเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย รับประทานยาเบาหวานอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพดวงตา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เพราะแม้ว่า ภาวะเบาหวานขึ้นตา จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการตามัว แต่อาการเตือนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงระยะแรกเริ่มของความผิดปกติ โดยอาการจะค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยจึงมักไม่รู้ตัว และหากไม่ได้เข้ารับการตรวจสุขภาพตาตามคำแนะนำของแพทย์ กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวหรือมีอาการแสดงชัดเจนก็อาจสายเกินไป!!