โรต้าไวรัส ภัยร้ายใกล้ตัวเด็ก

โรต้าไวรัส ภัยร้ายใกล้ตัวเด็ก ที่พ่อแม่ต้อง รู้ทันและป้องกัน

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายคนอาจยังไม่รู้จัก โรต้าไวรัส และความรุนแรงของโรคติดเชื้อชนิดนี้อย่างถ่องแท้ โรต้าไวรัส (Rotavirus) เป็นไวรัส RNA ในตระกูล Reoviridae ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะใน เด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ เกือบทุกคนมักเคยติดเชื้อนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง โรต้าไวรัส เป็นสาเหตุสำคัญของ โรคอุจจาระร่วง ในเด็กเล็กที่พบได้บ่อยทั่วโลก

 

โรต้าไวรัสติดต่อได้อย่างไร?

เด็ก ส่วนใหญ่มักได้รับเชื้อ โรต้าไวรัส เข้าสู่ร่างกายทางปากผ่าน การกิน เช่น นม อาหาร หรือ น้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เชื้อโรคนี้สามารถปนเปื้อนอยู่ตามสิ่งของ ของเล่น หรือพื้นผิวต่างๆ ได้นานหลายวันไปจนถึงหลายเดือน หากไม่ได้รับการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม

เมื่อลูกน้อยนำสิ่งของที่มีเชื้อโรคเข้าปาก หรือมือเปื้อนเชื้อแล้วหยิบอาหารเข้าปาก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เด็กมี อาการไข้, ท้องเสีย, อาเจียน โดย อาการ มักปรากฏหลังจากรับเชื้อแล้วประมาณ 2-10 วัน สายพันธุ์หลักที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในเด็กทั่วโลกมากกว่า 95% มักเกิดจากสายพันธุ์ G1, G2, G3, G4 และ G9

 

อาการของลูกน้อยเมื่อติดเชื้อโรต้าไวรัส

หลังได้รับเชื้อประมาณ 1-2 วัน ลูกจะเริ่มมี อาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งบ่งชี้ว่า โรต้าไวรัส กำลังทำปฏิกิริยาในกระเพาะอาหาร บางรายอาจอาเจียนได้มากกว่า 7-8 ครั้งต่อวัน ทำให้ลูกดู อ่อนเพลีย และทานอาหารไม่ได้ประมาณ 1 วัน

อาการ ที่พบบ่อยเมื่อลูกติดเชื้อ โรต้าไวรัส ได้แก่:
  • มีไข้สูง: โดยอาจสูงถึง 39 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิด อาการชัก ในเด็กบางรายได้
  • ปวดท้อง ท้องเสีย: ตามมาด้วย ถ่ายเป็นน้ำ คล้าย อาหารไม่ย่อย อุจจาระ อาจเป็นฟองและมีกลิ่นเปรี้ยว เมื่อเชื้อเคลื่อนจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้
  • ภาวะขาดน้ำ: จาก อาการท้องเสีย และ อาเจียน รุนแรง
  • อาการลำไส้ปั่นป่วน: อาจยังมี อาการท้องเสีย มีลม หรือมีปัญหา การย่อยแลคโตส นานต่อไปได้อีก 1-3 สัปดาห์ หลังอาการหลักดีขึ้น

ใครเสี่ยงต่อโรคอุจจาระร่วงจากโรต้าไวรัส?

โรคอุจจาระร่วง จาก โรต้าไวรัส พบมากในกลุ่ม เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และพบการแพร่กระจายสูงในสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น สถานเลี้ยงเด็กเล็ก หรือ โรงเรียน นอกจากนี้ ผู้ดูแลเด็ก, ผู้ปกครอง และ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้เช่นกัน

จากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วย โรคอุจจาระร่วง ทั่วไปตลอดปี 2560 จำนวน 985,544 ราย เสียชีวิต 4 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นการป่วยใน เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 226,909 ราย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชุกและความสำคัญของโรคนี้ในกลุ่มเด็กเล็ก

 

โรคอุจจาระร่วงจากโรต้าไวรัส ป้องกันได้อย่างไร?

การป้องกัน โรคอุจจาระร่วง จาก โรต้าไวรัส ที่มีประสิทธิภาพทำได้โดย:
  • ล้างมือให้สะอาด: ด้วย น้ำและสบู่ หรือเจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป ทั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ รวมถึงหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม
  • กำจัดขยะมูลฝอย: และเศษอาหารอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน ซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อ
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุก: อาหารควร สุก ร้อน สะอาด หลีกเลี่ยงการรับประทาน อาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม
  • การเก็บรักษาอาหาร: หากต้องการเก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วไว้รับประทานในวันต่อไป ควรใส่ไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิดก่อนเก็บในตู้เย็น และนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง ควรแยกเก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วออกจากอาหารหรือวัตถุดิบที่ยังไม่ปรุง เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
ปกป้องลูกน้อยด้วย "วัคซีนโรต้า"

สิ่งสำคัญที่สุดในการปกป้องลูกน้อยจาก โรต้าไวรัส คือ การพาลูกมารับการหยอดวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า ซึ่งถือเป็น วิธีป้องกันโรค ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน วัคซีนโรต้า สามารถป้องกันโรคได้ร้อยละ 70-90 การที่พ่อแม่พาบุตรหลานมารับ วัคซีนป้องกัน ได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการเสริมเกราะ ภูมิคุ้มกัน ให้เด็กห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้เร็วขึ้น

วัคซีนโรต้า สามารถให้โดยการหยอดทางปาก โดยทารกควรได้รับ วัคซีน 2 หรือ 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของ วัคซีน ที่ได้รับ:
  • หากเป็น วัคซีนชนิดหยอด 2 ครั้ง: ควรได้รับที่อายุ 2 เดือน และ 4 เดือน
  • หากเป็น วัคซีนชนิดหยอด 3 ครั้ง: ควรได้รับที่อายุ 2 เดือน, 4 เดือน, และ 6 เดือน
วัคซีนโดสแรก ควรได้รับก่อนอายุ 15 สัปดาห์ และ วัคซีนโดสสุดท้าย ควรได้รับก่อนอายุ 8 เดือน ไม่แนะนำให้วัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าในเด็กที่อายุมากกว่า 8 เดือน เนื่องจากในเด็กที่อายุมาก การเริ่มให้วัคซีนอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิด ลำไส้กลืนกัน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง จึงไม่แนะนำ

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

คลินิกเด็ก 24 ชม.

โรงพยาบาลเปาโล พระประแดง

โทร. 02-818-9000 ต่อ 107, 108