- บทความ
- บทความสุขภาพ
โรคยอดฮิตที่เกิดกับเด็กวัยเรียน

โรคยอดฮิตที่เกิดกับเด็กวัยเรียน คู่มือสำหรับผู้ปกครอง
วัยเด็ก เป็นช่วงสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจเรื่อง สุขภาพ เป็นพิเศษ เนื่องจาก ระบบภูมิต้านทาน ของเด็กยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ เมื่อเด็กๆ ต้องอยู่ใน สถานอนุบาล หรือ โรงเรียน ที่มีการเล่นและสัมผัสกันมาก โดยเฉพาะช่วงที่ อากาศเปลี่ยนแปลง ร่างกายของเด็กจะอ่อนแอกว่าปกติ ทำให้ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ จาก โรคติดต่อ ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ เชื้อไวรัส รวมถึง เชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โรคโควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดอยู่
ดังนั้น ผู้ปกครอง จึงควรให้ความสำคัญกับการ ดูแลสุขอนามัย ของเด็กๆ รวมถึงทำความรู้จัก โรคยอดฮิต ที่มักเกิดกับ เด็กวัยเรียน เพื่อการ ป้องกัน และรู้เท่าทัน อาการ หากลูกป่วยหรือมีการติดเชื้อต่างๆ
โรคโควิด-19 ใน เด็ก อาการและข้อควรระวังโรคโควิด-19 เป็น โรคติดเชื้อ ที่ทำลาย ระบบทางเดินหายใจ หลัก เกิดจาก เชื้อไวรัสโคโรนา ที่สามารถ กลายพันธุ์ เพื่อหลบเลี่ยง ภูมิต้านทาน จากผู้ที่เคยรับเชื้อหรือจาก วัคซีน ได้ แม้ว่า เด็กอายุน้อยมากๆ หรือ อายุต่ำกว่า 5 ปี จะยังไม่แนะนำให้รับ วัคซีนต้านโควิด เนื่องจากยังต้องการข้อมูลความปลอดภัยเพิ่มเติม โชคดีที่ เด็กที่ติดเชื้อโควิด ส่วนใหญ่อาการมักไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม การที่เด็กติดเชื้อก็เพิ่มช่องทาง การแพร่เชื้อ ไปยังผู้ที่อยู่รอบข้างได้
อาการโควิด-19 ที่พบในเด็ก- มีไข้
- มีน้ำมูก (แต่ไม่มาก)
- คัดจมูก
- เจ็บคอ
- ไอ (มีเสมหะแต่ไม่มาก)
- เบื่ออาหาร
- อ่อนเพลีย
ในบางราย อาการ อาจรุนแรงกว่า ไข้หวัดธรรมดา และมักมีการติดเชื้อไปยัง ปอด ทำให้เกิด ปอดอักเสบ ได้ ดังนั้น หากเด็กมี ประวัติเสี่ยง ต่อการรับเชื้อและมี อาการ ดังกล่าว ควรพาไปพบ แพทย์ เพื่อ ตรวจวินิจฉัย หากพบว่าติดเชื้อ จะได้รับ ยาต้านเชื้อ หรือ รักษาตามอาการ อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
ไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่ความแตกต่างและการป้องกันไข้หวัด และ ไข้หวัดใหญ่ ยังคงเป็น โรคยอดฮิต ที่พบได้บ่อย อากาศเย็น และ ความชื้น ในช่วง หน้าฝน และ หน้าหนาว ทำให้ เชื้อไวรัส เจริญเติบโตและแพร่กระจายได้มากกว่าปกติ ทำให้เกิด โรคระบาด ได้ง่ายขึ้น ยิ่งหากเป็นช่วงที่ เด็กเปิดเรียน หรือมีกิจกรรมรวมกลุ่มกัน ก็ยิ่งทำให้เกิด การแพร่เชื้อ เป็นวงกว้างมากขึ้น
เมื่อเด็กๆ ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมักมาทางการ หายใจ การสูดละอองฝอยจากการไอ จาม ของผู้มีเชื้อ หรือทานอาหารและดื่มน้ำที่ปนเปื้อนน้ำลายหรือเสมหะ จะส่งผลให้ในอีก 2-5 วันต่อมา เริ่มมี อาการคัดจมูก มีน้ำมูกใส จาม คอแห้ง เจ็บคอ อาจมี ไข้ต่ำถึงสูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ไอ หาก อาการรุนแรง และลุกลาม อาจเกิด โรคแทรกซ้อนที่มากับไข้หวัด ได้แก่ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ
วิธีแยกไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดธรรมดา- ในระยะวันแรกๆ หาก อาการทางกาย เช่น ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว หน้าแดง ปากแดง แสบคอ เด่นชัดมากกว่า อาการคัดจมูก มีน้ำมูก มักจะเป็น อาการของไข้หวัดใหญ่
- หาก อาการทางกาย น้อย แต่อาการเด่นๆ ที่ชัดกว่าคือ คัดจมูก น้ำมูกใส มักเป็น อาการของไข้หวัดธรรมดา
โรคติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ RSV อาการที่ต้องระวังใน เด็กเล็กโรคติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ RSV มี อาการคล้ายหวัด คือ คัดจมูก และ น้ำมูกใส เป็นอาการเด่น อาจมี ไข้ บ้าง ส่วน อาการ จะรุนแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับการลุกลามถึง ทางเดินหายใจส่วนล่าง ได้แก่ หลอดลมฝอย หรือ ปอด โดยเฉพาะ เด็กเล็ก อาจมี อาการรุนแรงมาก ได้แก่:
- ไข้สูง
- ไอมาก
- ไอแบบลึกๆ เครือๆ
- หายใจเร็ว
- หอบเหนื่อย
- หายใจลำบาก
จะเห็นได้ว่าอาการไข้ ไอจาม มีน้ำมูก อาจทำให้แยกความแตกต่างของ อาการไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ ไข้ไวรัส RSV และ ไข้ไวรัสโควิด-19 ได้ยาก การ ดูแลส่วนใหญ่ จึงให้ความสำคัญที่ การรักษา และให้ ยาตามอาการ เป็นหลัก ดังนั้น ผู้ปกครอง ควรสังเกตว่าเด็กๆ มี อาการรุนแรง หรือไม่ เช่น มีไข้สูง เหนื่อยหอบ หายใจเร็ว และ ไอมาก หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อ ใดๆ ก็ควรพาเด็กไปพบ แพทย์ ในทันที และที่สำคัญหากมี โรคประจำตัว ที่ทำให้อาการรุนแรงได้ง่ายอยู่เดิมด้วยแล้ว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ ก็ยิ่งไม่ควรนิ่งนอนใจ หรือรอดูอาการ
โรคมือเท้าปาก อาการและการดูแล
โรคมือเท้าปาก จะพบมากใน เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดย อาการแสดงของโรค คือ มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย หลังจากนั้น 2-3 วัน จะมี อาการเจ็บปาก เด็กจะไม่ยอมทานข้าว เพราะในปากจะมี ตุ่มแดงที่จะกลายเป็นตุ่มน้ำพองใส แล้วจะ แตกเป็นแผล ทำให้เจ็บทั้งที่ ลิ้น เพดานปาก กระพุ้งแก้ม และในลำคอ อาจเจ็บมากจนหุบปากไม่สนิท ทำให้มี น้ำลายไหล และจะมี ผื่นขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า โดยอาจมีที่ขาหรือก้นร่วมด้วย แต่จะไม่มีอาการคัน
โรคมือเท้าปาก ส่วนใหญ่ อาการ จะไม่รุนแรงมากนัก ความสำคัญอยู่ที่ อาการไข้สูง ในวันแรกๆ และความเจ็บในปากจน ทานได้น้อย หรือ ทานไม่ได้ ของเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่จึงกังวลใจ แต่หลัง 3-5 วันอาการจะค่อยๆ ทุเลา และหายเป็นปกติได้ใน 7-10 วัน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าดู อาการ ของลูกอย่างใกล้ชิด ระวังเรื่อง ไข้สูงจนชัก หรือ ทานได้น้อย จนเด็กมี ภาวะขาดน้ำ หรือ ขาดสารอาหาร ดังนั้น หากลูกมีอาการมากควรพาไปพบ แพทย์ จะดีกว่า
ป้องกันโรคยอดฮิตในเด็กวัยเรียน สุขอนามัยและวัคซีนสำหรับการ ดูแลลูก ให้ห่างไกลจาก ปัญหาสุขภาพ และ โรคติดเชื้อต่างๆ คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างนิสัยด้าน สุขอนามัย ให้เด็กๆ ได้ทำเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างระมัดระวัง:
- เมื่อถึงวัยที่ฝึกได้ ควรฝึกให้ ล้างมือทุกครั้ง หลังการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากใช้ห้องน้ำ
- ลดการสัมผัสสิ่งต่างๆ นอกบ้านด้วยมือ
- รักษาระยะห่างกับผู้คนรอบข้าง
- คุณพ่อคุณแม่เองต้องพยายาม หลีกเลี่ยงการพาลูกไปคลุกคลีกับผู้ป่วย
- การให้ลูกได้รับ วัคซีนตามกำหนด ที่ควรได้รับ
- พิจารณาให้ วัคซีนเสริมต่างๆ ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ วัคซีนมือเท้าปาก โดย ปรึกษาแพทย์
ทั้งนี้ เพื่อ ป้องกันลูกน้อย ให้ห่างไกลจาก ปัญหาสุขภาพ และการ เจ็บป่วย ด้วย โรคระบาดยอดฮิต ทั้งหลายเมื่อต้องไป โรงเรียน
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
โรงพยาบาลเปาโล พระประแดง โทร 0-2818-9000
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆ ได้ที่
Facebook : โรงพยาบาลเปาโล พระประแดง
