คุณแม่หลายคนอาจสงสัยว่า “ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานมาก่อน แล้วทำไมถึงเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้?” นี่คือภาวะที่ร่างกายของคุณแม่ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้

สัญญาณเตือนเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่ต้องสังเกต
หากคุณแม่เริ่มมีอาการเหล่านี้ระหว่างการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองอย่างละเอียด:
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
- รู้สึกหิวบ่อย แต่มีน้ำหนักลดลง
- มองเห็นไม่ชัด หรือมีอาการตามัว
- รู้สึกเหนื่อยง่าย และอ่อนเพลียตลอดเวลา
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วผิดปกติ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ส่งผลกระทบอย่างไร?
ภาวะนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อลูกน้อยในครรภ์ด้วย:

- อันตรายต่อทารก: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะถูกส่งผ่านรกไปยังทารก ทำให้ทารกมีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้คลอดลำบากและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ทารกอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเฉียบพลันหลังคลอด
- อันตรายต่อการคลอด: เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด การคลอดยาก และภาวะตกเลือดหลังคลอด

การควบคุมและการรักษา
เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าคุณแม่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะเริ่มจากการแนะนำให้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเน้นการควบคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม หากการปรับพฤติกรรมยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ แพทย์อาจแนะนำให้ ฉีดอินซูลิน ควบคู่ไปกับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติแล้ว เบาหวานขณะตั้งครรภ์มักจะหายไปได้เองหลังคลอด แต่คุณแม่ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาเป็นเบาหวานได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะในการตั้งครรภ์ครั้งถัดไป ดังนั้น การดูแลสุขภาพและการตรวจเช็กอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะนี้คือการดูแลสุขภาพให้ดีตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ และลดการบริโภคน้ำตาลและแป้ง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หากคุณวางแผนที่จะมีลูกหรือกำลังตั้งครรภ์ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางจะช่วยให้คุณและลูกน้อยปลอดภัยจากภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้

 

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
ศูนย์สุภาพสตรี อาคาร 5 ชั้น 2
โทร. 02-514-4141 ต่อ 5148 - 5220
Line id : @Paolochokchai4