-
เบื้องหลังความห่วงใย คือเครื่องมือที่แม่นยำและทันสมัย
โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ
22-เม.ย.-2568

เบื้องหลังความห่วงใย คือเครื่องมือที่แม่นยำและทันสมัย

          เพราะทุกการเจ็บป่วยไม่ใช่เรื่องเล็ก... เบื้องหลังความห่วงใยของ โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ คือเครื่องมือที่ทันสมัยและแม่นยำ พร้อมช่วยแพทย์วินิจฉัยได้อย่างตรงจุด เพื่อให้คุณได้รับการรักษาที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและมั่นใจได้ในทุกขั้นตอนของการดูแลอย่างปลอดภัย

เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เราใช้
          โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อให้คุณมั่นใจได้ในทุกขั้นตอนของการรักษา ด้วยมาตรฐานที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้

1.
MRI (Magnetic Resonance Imaging) มีลักษณะคล้ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ โดยมีเตียงที่เลื่อนเข้าออกในอุโมงค์ได้ เป็นเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใช้ “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นความถี่วิทยุความเข้มสูง” สแกนให้เห็นอวัยวะภายในร่างกายอย่างละเอียด โดยสัญญาณที่ได้จะถูกประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ที่มีความละเอียดสูง ชัดเจน จึงให้ภาพที่คมชัดในรูปแบบ 3 มิติเสมือนจริง แยกความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อได้อย่างชัดเจน ทำให้แพทย์เห็นความผิดปกติทางกายวิภาคและสรีรวิทยาของร่างกาย จึงวินิจฉัยโรคได้แม่นยำ และวางแผนการรักษาต่อไปได้ทันท่วงที การตรวจ MRI ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใดๆ แก่ร่างกาย และไม่มีอันตรายจากรังสีตกค้าง


อาการที่จำเป็นต้องตรวจ MRI

  • ปวดศีรษะเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการเวียนหัว หน้ามืด
  • ชาหรืออ่อนแรงแขนขา อาจเกี่ยวกับระบบประสาทหรือไขสันหลัง
  • ปวดคอรุนแรง ร้าวลงแขน
  • ปวดหลังร้าวลงขา เสี่ยงหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
  • ปวดหลังเรื้อรัง แบบเป็นๆ หายๆ
  • บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เช่น เอ็นเข่าฉีก ข้อไหล่หลุด ข้อเคลื่อน
  • ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อมือ ข้อสะโพกมีปัญหาเรื้อรัง ขยับแล้วปวดหรือฝืด
  • เจอก้อนผิดปกติในร่างกาย ต้องการประเมินลักษณะก้อนหรือเนื้องอก
  • มีปัญหาเกี่ยวกับตับ ตับอ่อน หรืออวัยวะในช่องท้อง
  • สงสัยโรคหรือเนื้องอกในสมอง
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ควบคุมปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้
  • ติดตามผลหลังผ่าตัดหรือหลังรักษาโรคบางประเภท     

ข้อควรระวัง!

          แม้การตรวจ MRI จะไม่มีปริมาณรังสี แต่ก็มีสนามแม่เหล็กแรงสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เคยผ่าตัดติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์หรือมีโลหะบางชนิดในร่างกาย เพราะอาจทำให้โลหะที่ฝังอยู่ในร่างกายมีการขยับจึงควรแจ้งแพทย์ พยาบาล และผู้ดูแลก่อนการทำ MRI ทุกครั้ง

2. MIS (Minimally Invasive Surgery) คือนวัตกรรมการผ่าตัดผ่านกล้องขนาดเล็ก โดยการเจาะผิวหนังบริเวณที่จะทำการรักษาเป็นรูขนาดเล็ก เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือผ่าตัดลงไปแพทย์จะสามารถมองเห็นอวัยวะภายในผ่านจอมอนิเตอร์ และผ่าตัดได้โดย ไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่ เหมือนการผ่าตัดแบบเดิมๆ ลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะภายใน และลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ใช้เวลาพักฟื้นไม่นานและเจ็บน้อย


โรคที่นิยมใช้เทคนิค MIS

  • นิ่วในถุงน้ำดี
  • การผ่าตัดริดสีดวงทวารหนัก
  • ไส้ติ่งอักเสบ
  • โรคในระบบทางเดินอาหาร
  • ผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลัง
  • ผ่าตัดข้อเข่า
  • ผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ในผู้หญิง
  • การผ่าตัดเนื้องอกของรังไข่และปีกมดลูก
  • การผ่าตัดม้าม
  • การผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบ
  • การผ่าตัดเนื้องอกลำไส้ใหญ่
  • การผ่าตัดไต
  • การผ่าตัดปอด


ข้อควรระวัง!
         
อาจมีอาการปวดหน่วงๆ หรือปวดเมื่อยหลังจากการผ่าตัดเล็กน้อย ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวด

3. CT Scan (Computed Tomography Scan) คือการตรวจวินิจฉัยด้วย เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ที่สามารถเห็นระบบเส้นเลือดและโครงสร้างทั้งหมดได้แบบ 3 มิติทำให้เห็นอวัยวะภายในชัดเจน ละเอียดกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา ใช้เวลาตรวจไม่นาน เหมาะกับกรณีฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุ

 


โรคที่นิยมใช้เทคนิค CT Scan

  • ปวดศีรษะรุนแรง หรือสงสัย เลือดออกในสมอง
  • อุบัติเหตุทางสมอง หรือช่องท้อง ต้องการดูอวัยวะภายใน
  • ตรวจก้อนเนื้องอก หรือมะเร็งในร่างกาย
  • ตรวจปอด เช่น มะเร็งปอด หรือถุงลมโป่งพอง
  • ตรวจนิ่วในไต ถุงน้ำ หรืออวัยวะในช่องท้อง
  • ประเมินกระดูกหักที่ซับซ้อน หรือข้อเสื่อม

ข้อควรระวัง!

          การตรวจ CT Scan แม้จะปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่ก็มี ข้อควรระวัง ที่ควรรู้ไว้ โดยเฉพาะในบางกลุ่มผู้ป่วยหรือกรณีที่ต้องใช้สารทึบรังสี

1. การได้รับรังสี 

  • ใช้รังสีมากกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา
  • ไม่ควรตรวจบ่อยโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะในเด็กและหญิงตั้งครรภ์

2.  แพ้สารทึบรังสี

  • ในกรณีที่ต้องฉีดสารทึบรังสี อาจมีอาการแพ้ เช่น คลื่นไส้ ผื่น หรือในบางกรณีอาจมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแพ้ควรแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ   
3. ผู้ป่วยโรคไต
  • สารทึบรังสีอาจมีผลต่อการทำงานของไต โดยเฉพาะผู้ที่มีไตเสื่อมอยู่แล้ว

4. PMS (Peripheral Magnetic Stimulation) คือเทคโนโลยีทางกายภาพบำบัดที่ใช้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำ ไปกระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อบริเวณร่างกายส่วนต่างๆ โดยไม่ต้องสัมผัสผิวหนังหรือใช้เข็ม ให้เจ็บตัว สามารถส่งคลื่นแม่เหล็กลงลึกเข้าสู่ร่างกายได้ประมาณ 10 เซนติเมตร เพียงพอที่จะ กระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลาย และกล้ามเนื้อได้อย่างแม่นยำ

 


เหมาะกับผู้ที่มีอาการ

  • ปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน เช่น ปวดหลัง คอ ไหล่
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากอาการอัมพาต
  • เส้นประสาทถูกกดทับ เช่น กลุ่มอาการหมอนรองกระดูกทับเส้น
  • ฟื้นฟูหลังผ่าตัด หรืออาการเคลื่อนไหวติดขัด

5. Shockwave Therapy คือการใช้ คลื่นเสียงความเข้มสูง ยิงเข้าไปยังจุดที่บาดเจ็บหรืออักเสบของกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูของร่างกาย ซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น การสร้างหลอดเลือดใหม่ ลดอักเสบ คลายพังผืด ลดอาการปวดเรื้อรังได้ดี โดยเฉพาะในจุดที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ดีขึ้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

 

เหมาะกับผู้ที่มีอาการ

  • ปวดส้นเท้าหรือรองช้ำ
  • พังผืด เอ็นไหล่อักเสบ ขยับแขนแล้วเจ็บ
  • ปวดเอ็นร้อยหวาย
  • เจ็บเข่าเรื้อรังจากการใช้งานหนัก
  • ปวดหลังส่วนล่าง

ข้อควรระวัง!
          ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ มีภาวะเลือดออกง่าย หรือใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ เมื่อทำแล้วอาจมีรอยช้ำหรือรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่อาการจะดีขึ้นใน 1–2 วัน

6. Ultrasound Therapy หรือ การรักษาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ลงลึกเข้าสู่ร่างกายได้ประมาณ 35 เซนติเมตร เป็นเทคโนโลยีทางกายภาพบำบัดที่ใช้ คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ ส่งผ่านเข้าสู่เนื้อเยื่อในร่างกาย เพื่อช่วยลดอาการปวด อักเสบ และฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ เอ็น หรือข้อ เพิ่มการยืดหยุ่น


 

เหมาะกับผู้ที่มีอาการ

  • ข้อเสื่อม หรือ เคลื่อนไหวได้จำกัด
  • เคยผ่าตัดและต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
  • ปวดคอ ไหล่ บ่า หลัง จากการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำๆ หรือผู้ที่ป่วยออฟฟิศซินโดรม

ข้อควรระวัง!

          ผู้ที่มีโลหะฝังอยู่ในบริเวณที่ทำการรักษา ผู้มีภาวะมะเร็งบริเวณที่ต้องการรักษา หรือมีแผลเปิดหรือผิวหนังอักเสบในบริเวณที่ทำการบำบัด ไม่ควรทำ Ultrasound Therapy

7. TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) คือ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าผ่านผิวหนัง ที่ใช้กระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำ ไปกระตุ้นเส้นประสาท เพื่อช่วยลดอาการปวดเฉียบพลันที่เรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดกล้ามเนื้อ โดยไม่ต้องใช้ยา ปลอดภัย และใช้งานง่าย โดยเป็นเครื่องขนาดเล็ก สามารถใช้ในคลินิก หรือให้คนไข้ใช้ต่อที่บ้านได้ในบางกรณี




ข้อควรระวัง!

          ห้ามใช้กับผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ และหญิงตั้งครรภ์ (บริเวณหน้าท้องหรือหลังส่วนล่าง) รวมไปถึงในบริเวณหัวใจ คอด้านหน้า หรือศีรษะ

8. Hot Pack คือ อุปกรณ์ประคบร้อน ใช้ความร้อนชื้น ลงลึกเข้าสู่ร่างกายในระดับกล้ามเนื้อได้ประมาณ 1–2 เซนติเมตร ไม่ทำให้ผิวหนังแห้ง เพื่อบรรเทาอาการปวด คลายกล้ามเนื้อ และเพิ่มการไหลเวียนเลือด เหมาะสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรัง และอาการตึงของกล้ามเนื้อ มักใช้ก่อนทำกายภาพ เช่น ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือฝึกการเคลื่อนไหว





ข้อควรระวัง!

          ไม่ควรวางถุงร้อนโดยตรงบนผิว ควรมีผ้าหุ้ม 4–6 ชั้น หลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่ผิวไวต่อความร้อน หรือมีปัญหาการรับรู้สัมผัส ห้ามใช้บริเวณแผลเปิด หรือผิวหนังที่ไหม้และติดเชื้อ ระยะเวลาในการใช้ควรอยู่ที่ 15–20 นาที ต่อครั้ง


เบื้องหลังความห่วงใย... คือเครื่องมือที่แม่นยำและทันสมัย
การดูแลที่ดี เริ่มจากการวินิจฉัยที่ถูกต้อง โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อให้แพทย์ตัดสินใจรักษาได้อย่างถูกต้อง และคุณได้รับการดูแลที่ดีที่สุดตั้งแต่วันแรก

“เพราะการรักษาคนไข้ไม่ใช่แค่การดูแล  แต่คือความใส่ใจในทุกรายละเอียด”






สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ 
โทร. 02-363-2000
รับข่าวสารและกิจกรรมทางสุขภาพดีๆได้ที่

Facebook : Paolo Hospital Samutprakarn
Line official account : Paolo Hospital Samutprakarn