โรคภูมิแพ้ ที่พบบ่อย รับมือได้อย่างไร
โรคภูมิแพ้ ถือเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย มีระยะดำเนินการของรอยโรคและการรักษาที่นาน โดยมีทั้งชนิดที่สามารถรักษาให้หายขาดทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ และรักษาได้แต่อาจมีอาการเรื้อรัง จำเป็นต้องได้รับยาควบคุมอาการอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างสูงในการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เพราะบางกลุ่มโรคภูมิแพ้มีความอันตราย ที่สามารถนำไปสู่ภาวะการทำงานที่ผิดปกติของระบบการทำงานร่างกายรุนแรง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ในที่สุด
กลุ่มโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในคนไทย
1.กลุ่มผิวหนัง ได้แก่ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง มักพบบ่อยในเด็กเล็กตั้งอายุ 1 – 2 เดือน จนถึงเด็กโต มักมีอาการแสดงเป็นผื่นแห้งแดง คัน ตามบริเวณผิวหนัง มีตำแหน่งจำเพาะในการเกิด คือ บริเวณแก้ม บริเวณข้อพับ โดยการเกิดภูมิแพ้ในกลุ่มนี้มักจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มภูมิแพ้อาหาร ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจน เพราะอาจเกิดจากการแพ้อาหารจริง หรืออาจเป็นเพียงอาการแสดงจากการได้รับกระตุ้นจากอาหารเท่านั้นมีวิธีการดูแลรักษา คือ การทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรซ์เซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ลดอาการผิวแห้งที่ทำให้เกิดอาการคันแดง หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ไม่ใช้น้ำหอม ลดการอาบน้ำอุ่น กรณีที่เป็นผื่นแพ้ที่มีความสัมพันธ์กับอาหาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นๆ
2.กลุ่มภูมิแพ้อากาศ
คือภาวะที่เกิดการแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในอากาศ ทำให้มีอาการคัดจมูก คันจมูก จาม มีน้ำมูก โดยการมีน้ำมูกในบางคนพบว่าเป็นการมีน้ำมูกไหลลงคอ ทำให้เกิดเสียงแหบตามมา หรือในบางรายพบว่ามีน้ำมูก ที่ค้างในโพรงจมูก ทำให้เกิดเลือดกำเดา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ สามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่อายุประมาณ 2 ปี และสามารถเป็นได้ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่วิธีการดูแลรักษา คือ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และกลุ่มมลภาวะ เช่น ควันรถ ควันบุหรี่ การจุดธูป ควันจากการประกอบอาหาร และฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น ร่วมกับการใช้ยาในการควบคุมอาการตามระบบที่คนไข้เป็น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ถือเป็นกลุ่มโรคที่พบบ่อยในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งสารก่อภูมิแพ้อาหารที่พบบ่อย ได้แก่ นมวัว ไข่ขาว แป้งสาลี กรณีเด็กโต หรือผู้ใหญ่ สารก่อภูมิแพ้อาหารที่พบบ่อยจะเป็นกลุ่มอาหารทะเลวิธีการดูแลรักษา คือ ต้องได้รับการตรวจประเมินชนิดของอาหารที่แพ้ หากเป็นชนิดอาหารที่สามารถรักษาได้ เช่น นมวัว ไข่ขาว แป้งสาลี จะแนะนำให้งดอาหารนั้นๆ หลังจากงดอาหารแล้ว จะมีการตรวจติดตามค่าการแพ้ผ่านผลเลือด ทุก 4- 6 เดือน หากค่าการแพ้ลดลงในระดับที่สามารถพอจะทานอาหารนั้นได้ จะให้มี การทดสอบการแพ้อาหาร Oral Food Challenge Test เพื่อยืนยันผลการแพ้อาหารว่าสามารถทานอาหารได้หรือไม่
หากเป็นกลุ่มอาหารชนิดที่ไม่สามารถรักษาจนหายขาดได้ เช่น อาหารทะเล ควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเล รวมถึงหลีกเลี่ยงกลุ่มที่สัมพันธ์กันด้วย เช่น คนไข้ที่พบว่า แพ้กุ้ง ควรหลีกเลี่ยงสัตว์ทะเลชนิดเปลือกแข็งอื่นๆด้วย เช่น กั้ง ปู ทั้งนี้ในกรณีที่มีอาการแพ้รุนแรง อาจต้องมีการพกยาฉีดฉุกเฉิน อะดรีนาลีน (Adrenaline)