1. อายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อต่าง ๆ จะหย่อนยานลง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ ทำให้ลิ้นไก่และลิ้นตกไปปิดทางเดินหายใจได้ง่าย
2. เพศชาย มีโอกาสนอนกรนมากกว่าเพศหญิงเนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมน แต่เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับผู้ชาย
3. โรคอ้วน มีไขมันส่วนเกินไปสะสมในช่วงคอ เบียดช่องหายใจให้แคบลง
4. ดื่มสุรา หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับซึ่งมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลในการลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อที่ขยายช่องหายใจ
5. การสูบบุหรี่ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจแย่ลง ทำให้ช่องคอระคายเคือง มีการหนาบวมของเนื้อเยื่อ ทางเดินหายใจจึงตีบแคบลง เกิดการอุดตันนอนกรนได้ง่าย
6. อาการคัดจมูกเรื้อรัง เช่น มีผนังกั้นจมูกคด เยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรังจากโรคภูมิแพ้ หรือเนื้องอกในจมูก
7. กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคนอนกรนมากกว่าคนปกติ
8. ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้าผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางร่นไปด้านหลัง ลักษณะคอยาว กระดูกโหนกแก้มแบน
9. โรคที่มีความผิดปกติด้านฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroid) ทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดตันได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
โรคนอนกรน และหยุดหายใจเกิดขึ้นเฉพาะขณะหลับเท่านั้น เพราะสมองกําลังพักผ่อนทําให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ทํางานน้อยลง ท่อทางเดินหายใจส่วนต้นก็จะฟีบเข้าหากันเหมือนการดูดหลอดกาแฟ ทําให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ เนื่องจากขาดอากาศหายใจจึงต้องพยายามหายใจแรงขึ้น เพื่อเปิดทางเดินหายใจนี้เมื่อสมองถูกกระตุ้นให้ตื่นบ่อยๆ ทําให้หลับไม่ลึกและรู้สึกง่วงนอนตอนกลางวัน เพลีย และไม่สดชื่นเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบอื่นๆ ตามมา เช่น
การผ่าตัดร่วมกับการจัดฟัน รวมถึงการใส่เครื่องมือในช่องปาก เป็นหนึ่งในทางเลือกของการรักษาอาการนอนกรน การใส่เครื่องมือในช่องปากปัจจุบันเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องรับการผ่าตัดใดๆ ค่ารักษาพยาบาลถูกกว่าวิธีอื่น ใส่ได้ง่าย สบายทำให้ใส่ได้ตลอดทั้งคืน
เครื่องมือชนิดนี้มีหลายแบบ หลายรูปร่าง แต่หลักการทำงานเหมือนกันคือ ยึดขากรรไกรล่างให้เคลื่อนมาข้างหน้า โคนลิ้นจะถูกดันออกมาด้วยทำให้ช่องคอเปิดออก และทำให้อากาศผ่านเข้าได้ง่ายขึ้น ช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น และเสียงกรนเบาลง แต่ข้อเสีย คือจะต้องนอนคาบเครื่องมือกันกรนทั้งคืน แต่เมื่อชินแล้วก็จะช่วยให้หลับสบายมากขึ้นทำให้ร่างกายได้นอนเต็มอิ่มแบบไม่ต้องหยุดหายใจชั่วขณะอีกต่อไป ทั้งนี้ อาจมีผลข้างเคียงจากการใส่เครื่องมือกันกรน เพราะถ้าหากยื่นขากรรไกรมากเกินไป ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บปวดบริเวณข้อต่อขากรรไกร หรือกระทั่งมีอาการฟันไม่สบกันหลังจากถอดเครื่องมือกันนอนกรนได้ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ร้ายแรง เพราะฉะนั้นผู้ป่วยจึงควรได้รับการรักษากับทันตแพทย์เฉพาะทาง ที่เหมาะสม และต้องมาตรวจเครื่องมือกันกรนเป็นระยะอย่างเคร่งครัด การรักษาด้วยวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของอาการตั้งแต่น้อยถึงปานกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยการผ่าตัดจะมีความปลอดภัยกว่าทำง่ายกว่า และที่สำคัญราคาถูกกว่า จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ใครที่รู้ตัวว่าเริ่มมีอาการเหล่านี้สามารถไปพบแพทย์ได้
การดูแลรักษาทำความสะอาดเหมือนฟันปลอมทั่วๆ ไป มีขั้นตอน ดังนี้
1. ห้ามใช้ผงขัดกับแปรงที่แข็งเกินไป
2. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนทำความสะอาด เพราะจะทำให้เครื่องมือกันกรนบิดงอได้
3. ห้ามแช่ในน้ำยาบ้วนปาก หากต้องการทำความสะอาดให้แช่ในเม็ดฟู่แช่ฟันปลอมตามทันตแพทย์สั่ง
4. เครื่องมือกันกรนจะมีส่วนข้อต่อระหว่างบนและล่าง ซึ่งอาจเป็นพลาสติก หรือโลหะ หรือยางแล้วแต่ระบบที่จะเลือกใช้เวลาทำความสะอาดควรทำด้วยความนุ่มนวล
5. เมื่อใช้งานไปถ้าข้อยึดของเครื่องมือกันกรนได้รับความเสียหาย คด งอ ควรนำเครื่องมือกันกรนมาให้ทันตแพทย์ที่เป็นผู้ทำเครื่องมือให้แก่ผู้ป่วยทำการปรับแต่งใน6. ส่วนของเครื่องมือกันนอนกรน อีกทั้ง เป็นการตรวจประเมินผลการรักษาด้วย