“เพราะว่าสายตามันหลอกกกันไม่ได้” เราก็เลยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องปัญหาสายตา ยิ่งถ้าเป็นตาเข ตาเหล่อาจต้องรักษา เพราะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ยิ่งในปัจจุบันที่มือถือเข้ามามีบทบาทกับคนทุกวัยก็ยิ่งต้องใส่ใจให้มากขึ้น เพราะมีงานวิจัยพบว่าการใช้มือถือติดต่อกันนานเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน เป็นระยะเวลา 3 – 4 เดือนต่อเนื่องอาจทำให้เกิดตาเหล่เข้าในได้
รู้จักกับตาเข – ตาเหล่...ให้มากขึ้นตาเข หรือตาเหล่ คือการที่ดวงตาสองข้างไม่ตรง หรือมองไปแล้วดวงตาไม่ได้อยู่ตรงกลาง สามารถแบ่งเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1. ตาเหล่เทียม เป็นภาวะที่ไม่ได้มีความผิดปกติ หรือจัดเป็นโรคตาเหล่ เพียงแต่ดูเหมือนเท่านั้น หรือมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้ดูเหมือนตาเหล่เข้าใน เช่น มีเนื้อหนังตาที่บริเวณหัวตาเยอะ จนทำให้ดูเหมือนพื้นที่ตาขาวน้อย หรือมีดั้งจมูกที่แบน โดยเฉพาะเด็กที่ดั้งยังไม่นูนขึ้นมา นอกจากนี้ในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ก็อาจมีโครงสร้างลูกตาผิดปกติไป จนทำให้ดูเหมือนตาเหล่ออกนอกได้เช่นกัน อาจใช้วิธีลองดึงดั้งจมูกเด็กเพื่อตรวจเช็คว่าตาเหล่หรือไม่
2. ตาเหล่แฝง ในกรณีนี้จะต้องทำการตรวจสอบด้วยการถ่ายภาพหน้าตรงปกติแล้วยิงแฟลชเพื่อสังเกตแสงสะท้อนที่ตกกระทบ และอีกวิธีคือการปิดตาสลับ
3. ตาเหล่แท้ ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน คือแสงสะท้อนไม่ตกตรงกลาง หรือใช้วิธีมือปิดสลับก็มีการเคลื่อนที่ของตาดำอย่างเห็นได้ชัด
ตาเหล่แท้...ที่แท้ เป็นเพราะความผิดปกติ 3 ด้าน ดังนี้
1. ความผิดปกติที่กล้ามเนื้อดวงตา คือกล้ามเนื้อมีพังผืด อ่อนแรง หรือเกาะผิดตำแหน่ง
2. ความผิดปกติของระบบประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อตา หรือตั้งแต่เส้นประสาทสมองที่เกี่ยวข้อง คือคู่ที่ 3, 4, 6 ไปจนถึงสมองมีอาการอักเสบ หรือมีก้อนเนื้องอกเกิดขึ้นที่เส้นประสาทดังกล่าว
3. ความผิดปกติที่สารสื่อประสาท เช่น โรค MG (Myasthenia gravis) หรือเกิดจากการที่เด็กเมื่อทำกิจกรรมเยอะๆ อาจมีหนังตาตก จนเห็นเป็นภาพซ้อน
นอกจากนี้ ยังมีภาวะตาเหล่เฉียบพลัน ทำให้เกิดภาพซ้อนได้ ซึ่งสามารถทดสอบเพื่อหาสาเหตุว่าภาพซ้อนที่เกิดขึ้นมาจากความผิดปกติของตาหรือไม่ โดยการปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง หากอาการภาพซ้อนหายอาจเป็นไปได้ที่จะมีปัญหาของกล้ามเนื้อตา หรือตาเหล่ แต่หากภาพซ้อนยังคงอยู่ นั่นอาจหมายถึงภาวะสายตาเอียง
สังเกตให้ดี แบบนี้เรียกว่าตาเข – ตาเหล่ สามารถตรวจเช็คเบื้องต้นได้ด้วย...
• สังเกตจากเวลาถ่ายภาพหน้าตรง แล้วยิงแฟลช ให้ดูแสงสะท้อนที่ตกลงที่ตาดำ หากแสงสะท้อนตกตรงจุดศูนย์กลางตาดำแสดงว่าสายตาตรงปกติ แต่ถ้าหากแสงสะท้อนไม่ได้ตกอยู่ตรงกลางตาดำ นั่นอาจเป็นไปได้ว่าดวงตามีความผิดปกติ หรือมีตาเข ตาเหล่ โดยการถ่ายภาพควรตั้งกล้องเว้นระยะห่าง 2 ฟุตขึ้นไป พร้อมกับตั้งหน้าให้ตรง ไม่กลอกตา
• การปิดตาสลับ ด้วยการปิดตาทีละข้างแล้วมองวัตถุซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหน้าในระยะ 1 ฟุต ถ้าสายตาตรงปกติลูกตาจะต้องนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่หากลูกตามีการขยับ หรือเคลื่อนที่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าตาเหล่ ซึ่งจะต้องพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง
รักษาตาเหล่ - ตาเข ก่อนลุกลาม
หากสังเกตพบความผิดปกติ หรือมีความสงสัยเกี่ยวกับปัญหาสายตา ควรรีบพบจักษุแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งในการรักษาจะแบ่งออกเป็น...
• การรักษาโดยไม่ผ่าตัด ได้แก่ การใช้แว่นตา การปิดตาแก้สายตาขี้เกียจ โดยจำเป็นต้องทำการรักษาตาขี้เกียจก่อนเสมอ รวมถึงการบริหารกล้ามเนื้อตา
• การรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งแพทย์มักจะเลือกใช้วิธีนี้ในกรณีที่ทำการรักษาโดยไม่ผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
ทั้งนี้ พัฒนาการในการมองเห็นสองตาพร้อมกัน การรวมภาพ หรือการทำให้เกิดภาพ 3 มิติ โดยธรรมชาติแล้วจะพัฒนาก่อนวัย 2 ปี ซึ่งหากเกิน 2 ปีแล้วการทำการรักษาอาจทำให้ดวงตากลับมาตรงได้ก็จริง แต่การมองเห็นด้านสามมิติอาจไม่ได้กลับคืนมาทุกราย ดังนั้น ภาวะตาเหล่จำเป็นต้องรีบทำการรักษา หากปล่อยไว้จนโตอาจเสียโอกาสในการรักษาได้
นพ.ยุทธพงษ์ อิ่มสุวรรณ
จักษุแพทย์
โรงพยาบาล เปาโล พหลโยธิน