ผู้เป็นเบาหวาน มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากคาร์โบไฮเดรตในร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง และปัสสาวะที่ขับออกมาจะมีปริมาณน้ำตาลที่ผิดปกติ นอกจากนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สามารถที่จะเข้าไปในเซลล์ตามปกติได้ ทำให้เซลล์ในร่างกายขาดพลังงาน ดังนั้น อาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน และควบคุมเบาหวาน โภชนาการที่เหมาะสมสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวม รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ป้องกัน หรือชะลอการเกิดโรคหัวใจ โรคไต และความผิดปกติของนัยน์ตา และระบบประสาท
โภชนบำบัดสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
การใช้โภชนบำบัดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานที่สำคัญคือ ต้องพยายามลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับค่าปกติให้มากที่สุดด้วยการควบคุมอาหาร โดยคำนึงถึงการรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก ไขมันตํ่า รวมทั้งการออกกำลังกายควบคู่กันไป เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างระดับน้ำตาลในเลือดและอาหารที่รับประทานขณะเดียวกันการรับประทานอาหารประจำวันต้องคำนึงถึงปริมาณเกลือแร่ และวิตามินชนิดต่างๆ ว่าได้รับเพียงพอ หรือไม่ ซึ่งบางครั้งอาจได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ ในกรณีที่ต้องควบคุมน้ำหนัก อาจต้องรับประทานวิตามินและเกลือแร่เสริม เพื่อให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายเป็นไปตามปกติ
ข้อมูลโภชนาการที่ควรรู้
การเลือกอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ควรเรียนรู้วิธีการอ่านข้อมูลโภชนาการที่แสดงในฉลากอาหาร เพื่อช่วยให้เลือกคาร์โบไฮเดรตได้ถูกชนิด และถูกปริมาณ มีหลักการ คือ
- ดูว่าอาหารที่ซื้อมีกี่หน่วยบริโภค
- อ่านตารางข้อมูลโภชนาการของผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ โดยดูที่ปริมาณคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด (เป็นกรัม) ซึ่งจะรวมปริมาณน้ำตาล ใยอาหาร และน้ำตาลแอลกอฮอล์ของอาหารที่บริโภคต่อ 1 ครั้ง
- ถ้ามีใยอาหารตั้งแต่ 5 กรัมขึ้นไป นำตัวเลขไปหักออกจากปริมาณคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด
- น้ำตาลแอลกอฮอล์ (หรือโพลิไฮดริก แอลกอฮอล์ เป็นสารให้ความหวานที่สกัดจากพืชผักธรรมชาติ) ถ้ามีส่วนผสมในอาหารตั้งแต่ 10 กรัมขึ้นไป จำนวนครึ่งหนึ่งต้องนำไปหักออกจากคาร์โบไฮเดรต จึงจะเป็นจำนวนคาร์โบไฮเดรตที่ต้องนับ
- ถึงแม้จะมีคำอ้างบนฉลากโภชนาการ เช่น “อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ” แต่ถ้าบริโภคในปริมาณมาก ก็อาจจะทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้
- ไม่ละเลยจำนวนพลังงาน แม้อาหารจะมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่ไม่จำเป็นว่าจะมีพลังงานต่ำไปด้วย ควรพิจารณาปริมาณโปรตีน ไขมัน และคอเลสเตอรอลในอาหารด้วย
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะบริโภคอาหารชนิดใด หลักสำคัญคือ ต้องคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต กระจายการกินคาร์โบไฮเดรตออกไปตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลแกว่ง โดยยึดหลักดังนี้
- กินเป็นเวลา กินอาหาร 3 มื้อหลักทุกวัน อาหารว่างมีได้แต่ต้องมีปริมาณน้อยๆ
- ไม่งดอาหารมื้อใด มื้อหนึ่ง
- เพิ่มใยอาหาร โดยเลือก ผัก ผลไม้หลากหลายชนิด
- เลือกอาหารที่เพิ่มระดับน้ำตาลปริมาณน้อย เช่น คาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี
- จำกัดอาหารที่มีน้ำตาลสูง ไม่เกิน 2 – 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ (เค้ก, คุกกี้, โดนัท, ไอศกรีมฯ)
- ลดไขมัน โดยใช้วิธีการต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง อบ ยำ เลี่ยงไขมันอิ่มตัว
- ควบคุมปริมาณของมื้ออาหาร ไขมัน และเนื้อสัตว์
- จำกัดเนื้อสัตว์ มื้อละไม่เกิน 3 ส่วน (6 ช้อนโต๊ะ หรือ 90 กรัม)
- อ่านข้อมูลโภชนาการ
- เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันจะช่วยให้ระดับน้ำตาลดีขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก: สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย
เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
ชมรมเบาหวานในเด็ก และวัยรุ่น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 0-2271-7000 ต่อ เบาหวานและเฉพาะโรค