ต้อกระจก หรือที่เรียกว่า Cataract เป็นภาวะที่เกิดจากเลนส์แก้วตามีการขุ่นมัว ทำให้มองไม่ชัดเนื่องจากแสงผ่านเข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง ดังนั้น การมองเห็นจึงไม่ชัดเจน รู้สึกตามัว มองภาพไม่ชัด โดยอาการจะเป็นอย่างช้าจนกระทั่งไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ จึงเกิดเป็นความทุกข์ในผู้ป่วยโรคต้อกระจก
เนื่องจากดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อชีวิตของคนเรา มีลักษณะการทำงานคล้ายกับกล้องถ่ายรูป โดยเมื่อเรามองไปที่วัตถุใดๆ แสงที่สะท้อนจากวัตถุนั้นจะวิ่งผ่านกระจกตา แก้วตา และภาพของวัตถุจะไปโฟกัสบนจอประสาทตา และสมองจะแปรผลเป็นรูปภาพ หากดวงตาของเราเกิดบกพร่อง ผิดปกติ เสมือนเราตกอยู่ในโลกแห่งความมืด ซึ่งจะส่งผลต่อการดำรงชีวิต และคุณภาพชีวิตโดยรวมอย่างแน่นอน
สัญญาณเตือนภัยหรืออาการของโรคต้อกระจก
สายตาจะเริ่มมัวลงอย่างช้าๆ โดยไม่มีอาการปวดตา การมัวของสายตาจะขึ้นอยู่กับระดับความขุ่นมัวของเลนส์ ถ้าใช้สายตาในที่มีแสงแดดจัดจะมัวมากขึ้น ที่มีแสงสว่างน้อยหรือสลัวจะเห็นชัดเจนกว่า อาจมีการเห็นภาพเหลื่อมซ้อน เห็นแสงกระจายขณะขับรถในตอนกลางคืนทำให้ขับรถลำบาก สามารถพบได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยมีหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้น อุบัติเหตุต่อลูกตา โรคทางกาย เช่น เบาหวาน การอักเสบเรื้อรังของตา การใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน
โรคต้อกระจกอันตรายไหม?
ความอันตรายของโรคต้อกระจกอยู่ที่สามารถโรคเข้าสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ถ้าทิ้งไว้โดยไม่รักษาด้วยการผ่าตัดในระยะอันสมควร เช่น ต้อกระจกที่เกี่ยวข้องกับโรคต้อหิน และการอักเสบอาจเกิดขึ้น ผู้ป่วยอาจมีสายตาที่พร่ามัวมาก มีอาการตาแดง และปวดหัว จำเป็นต้องทำการรักษาผ่าตัดถึงจะช่วยให้สายตาดีขึ้น แต่หากละเลย หรือรักษาไม่ทันเวลา จะส่งผลให้เกิดตาบอดได้ในที่สุด
โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุสัมพันธ์กันอย่างไร?
เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัยสูงอายุแล้วสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คือความเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายที่จะเสื่อมถอยลงตามกาลเวลา จนก่อให้เกิดโรคต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ดวงตา ดังนั้น ภาวะสูงอายุจึงมีความเสี่ยงและเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคต้อกระจก โดยส่วนมากจะพบในผู้สูงวัยอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตามต้อกระจกเป็นโรคที่เมื่อตรวจพบได้เร็ว สามารถรักษาให้หายได้อย่างทันท่วงที และไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การดูแล และเอาใจใส่ผู้สูงอายุจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่บุตรหลานหรือคนใกล้ชิดควรตระหนัก โดยการเริ่มต้นง่ายๆ คือการพาท่านไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือคนทั่วไปที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ก็ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งเช่นเดียวกัน
วิธีการรักษาโรคต้อกระจกในปัจจุบัน
ปัจจุบันการรักษาต้อกระจกทำได้หลายวิธี “แบบไม่ใช้การผ่าตัด” ใช้ในกรณีที่เป็นต้อกระจกที่ยังเป็นไม่มากอาจใช้การสวมแว่นตา การใช้ยาหยอดตาเพื่อช่วยชะลอหรือลดความขุ่นของต้อกระจกซึ่งอาจได้ผลไม่แน่นอน ส่วนการขยายม่านตาเพื่อรับแสงเข้าดวงตามากยิ่งขึ้นอาจใช้ในการรักษาโรคต้อกระจกแต่กำเนิดได้ อีกวิธีคือการ “ผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยอัลตร้าซาวน์และใส่เลนส์แก้วตาเทียม” โดยกระบวนการผ่าตัดจะใช้มีดเปิดแผลขนาด 2 - 3 มิลลิเมตร แล้วสอดเครื่องมือสลายต้อกระจกที่มีขนาดเท่ากับปลายปากกาเข้าไปเพื่อดูดสลายต้อกระจกด้วยอัลตร้าซาวน์ หลังจากนั้นจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทน
รักษาต้อกระจกที่ไหนดี?
การรักษาต้อกระจกควรเข้ารับการรักษากับจักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่สูงขึ้น ประกอบกับโรงพยาบาลนั้นๆ ควรมีเครื่องมือที่ทันสมัยในการรักษาต้อกระจก ด้วยความรวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วยต้อกระจก ปัจจุบัน โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธินได้มีการนำนวัตกรรมการผ่าตัดต้อกระจกโดยไม่ต้องใช้มีดในการผ่าตัด ด้วยความแม่นยำและปลอดภัย ให้ผลการมองเห็นที่ดีขึ้นมาใช้ อีกทั้งมีแพทย์เฉพาะทางมากประสบการณ์ให้การดูแลรักษา จึงช่วยให้ผลการรักษาผู้ป่วยในการมองเห็นที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในการใส่เลนส์แก้วตาเทียมรุ่นใหม่ๆ เช่น เลนส์โฟกัสหลายระยะ เลนส์แก้ไขสายตาเอียง และเลนส์โฟกัสระยะเดียว
นอกจากนี้ ยังอุปกรณ์ Optical Coherence Tomography (OCT) เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวัดค่า มุม และองศาต่างๆ ด้วยการถ่ายภาพดวงตาที่มีความละเอียดสูง ทำให้จักษุแพทย์ผู้รักษาสามารถวางแผน และทำการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกายวิภาคของดวงตาของผู้ป่วยแต่ละรายซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งขนาด ความลึก และความโค้งของกระจกตา
ผ่าตัดต้อกระจกแล้วจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่?
เมื่อทำการรักษาผ่าตัดต้อกระจกแล้วจะไม่กลับมาเป็นต้อกระจกอีก เนื่องจากต้อถูกสลายไปแล้ว จะคงเหลือเฉพาะถุงหุ้มเลนส์ซึ่งเป็นสิ่งธรรมชาติในร่างกายเราที่เอาไว้ใส่เลนส์แก้วตาเทียม ซึ่งอาจจะมีการขุ่นเกิดขึ้นในภายหลังใน 3 - 5 ปี ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการตามัวเล็กน้อย โดยสามารถรับการรักษาจากแพทย์ได้โดยการทำเลเซอร์ เพื่อเข้าไปยิงเจาะถุงหุ้มเลนส์ที่เป็นฝ้าออกได้
ตาต้อกระจก ที่เปลี่ยนเลนส์ตาแล้ว มีโอกาสกลายเป็นต้อหินหรือไม่?
ต้อกระจก เกิดจากการเสื่อมของเลนส์ตา ซึ่งเกิดจากอายุที่เปลี่ยนแปลงไป กรณีเคยผ่าต้อกระจกแล้วทำให้ภาวะต้อกระจกนั้นหมดไป แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดต้อหิน หรือกลายเป็นต้อหิน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 1772 ต่อ ตา