การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมของผู้ป่วยโรคเข่าเสื่อมได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถทำให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้เกือบใกล้เคียงกับช่วงที่ยังไม่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน การผ่าตัดเปลี่ยนข้อใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ภาวะแทรกซ้อนต่ำและนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลใน
ระยะเวลาไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไม่น้อยที่มีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัว ในบทความนี้จะเล่าสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานและญาติควรจะรับทราบเพื่อเอาไปเป็นข้อมูลในการดูแลตัวเอง ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อเข้ารับการผ่าตัด
การผ่าตัดข้อเข่าเทียมที่แท้แล้วคือการ “ฝาน ” เอาผิวข้อที่ผุพังออก และผ่าตัดนำเส้นเอ็นบางส่วนรวมถึงแหวนรองข้อเกิดที่การฉีกขาดจากความเสื่อมทิ้ง จากนั้นจึงทำการใส่อุปกรณ์สังเคราะห์ทดแทนเข้าไปแทนผิวข้อและแหวนรอง รวมถึงปรับมุมของหัวเข่าใหม่เพื่อลดการโก่ง ( มิใช่การตัดหัวเข่าออกแล้วเอาเข่าเทียมเป็นท่อนๆ ใส่ทดแทน ) วัสดุที่นำมาทำเป็นข้อเข่าเทียมคือโลหะผสมของโคบอลต์ และโครเมียมที่มีความแข็งแรงเฉพาะที่สูงมากแบบเดียวกับรากฟันเทียม ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าโอกาสที่ผู้ป่วยจะแพ้โลหะมีน้อยมาก ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจหาก่อนผ่าตัด
โรคเบาหวานคือโรคที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ระบบหลอดเลือด และระบบเส้นประสาททั่วร่างกาย ส่งผลทำให้เนื้อเยื่อมีความบอบบาง และภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดภาะแรกซ้อนได้ง่าย เช่น แผลหายช้า เป็นต้น ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถผ่าตัดรักษาเข่าเสื่อมได้เหมือนคนทั่วไป ข้อควรระวังคือการติดเชื้อ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้ป่วยสุขภาพปกติ นอกจากนั้น โอกาสที่จะผ่าตัดแก้ไขซ้ำจะสูงขึ้น เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา ดังนั้น การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือและการดูแลปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดจากผู้ป่วย
ระดับน้ำตาลที่สูงในผู้ป่วยเบาหวานจะทำให้เลือดมีความหนืดเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดได้ง่าย
ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสะสมของผู้ป่วยมีค่ามากกว่า 8% จะมีโอกาสติดเชื้อมากกว่าคนปกติอย่างมีนัยยะสำคัญ
ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานที่ตัดสินใจเข้ารับผ่าตัดข้อเข่าเทียม จึงต้องมีการดูแลตัวเองให้ดีก่อนที่จะมาผ่าตัด เพื่อที่จะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงสภาพร่างกายทั่วไปให้ปกติมากที่สุด ทีมแพทย์จึงจะลงความเห็นอนุญาตให้ผ่าตัดได้
สิ่งสำคัญหลังการผ่าตัดหลังผ่าตัดคือผู้ป่วยต้องดูแลรักษาเข่าเทียมให้ใช้งานได้ดี และใช้ได้นาน โดยการดูแลตัวเองต่อเนื่องทั้งในส่วนของความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ เนื่องจากความเสื่อมของข้อเข่าไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเข่า แต่รวมไปถึงกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และระบบประสาทที่ใช้ในการควบคุมการเคลื่อนไหว ดังนั้น ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลทางกายภาพบำบัดต่อเนื่องไปจนกว่าจะหายดี