ฉีด PRP: Platelet Rich Plasma รักษาโรคทางกระดูก เอ็น และกล้ามเนื้อ
ในเลือดของเราจะประกอบไปด้วยพลาสม่า Plasma 55% เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือด White Blood Cells and Platelets น้อยกว่า 1% และเม็ดเลือดแดง Red Blood Cells 45% แต่ขณะที่ขั้นตอนการทำ PRP จะเพิ่มคุณสมบัติของเกล็ดเลือดต่อการซ่อมแซมร่างกายเหนือเกล็ดเลือดธรรมดา ซึ่งการเตรียม PRP ที่ถูกต้องเท่านั้น จึงจะได้เกล็ดเลือดที่มีคุณภาพ และมีความเข้มข้นสูงขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าจึงจะมีประสิทธิภาพสูง โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ประสบการณ์ และความชำนาญของทีมแพทย์ ช่วยให้คุณมั่นใจในผลการรักษาระยะยาว
ในการตรวจครั้งแรก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะต้องซักประวัติการบาดเจ็บ รวมถึงโรคประจำตัว ตลอดจนการตรวจร่างกายด้วยการหาตำแหน่งที่บาดเจ็บเมื่อถึงขั้นตอนที่ต้องฉีด PRPแพทย์ที่ทำการรักษาต้องมีความเชี่ยวชาญในการฉีดเพื่อที่จะนำ PRP ไปยังตำแหน่งที่ต้องการให้มากที่สุด ในบางครั้งจะต้องใช้การUltrasound เพื่อช่วยหาตำแหน่งในการฉีด และเมื่อฉีด PRP เข้าไปแล้วโดยทั่วไปจะเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามยังต้องขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการฉีดด้วยในแต่ละตำแหน่งการออกฤทธิ์มีความแตกต่างกัน แพทย์ผู้ทำการรักษาจะติดตามดูอาการ ร่วมกับแนะนำแนวทางการรักษาอื่นร่วมด้วยเพื่อผลการรักษาที่ดีในระยะยาว เช่น การปรับกิจกรรม การบริหารกล้ามเนื้อ การยืดเส้น การเพิ่มความแข็งแรง หรือการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เพื่อประสิทธิภาพการรักษาอย่างเต็มที่ลดการใช้ยาต้านการอักเสบในผู้ป่วยที่ไม่จำเป็น หรือใช้ยามากเกินความจำเป็น
ตัวอย่างอาการบาดเจ็บที่รักษาโดยวิธี PRP
• การบาดเจ็บเรื้อรัง Chronic tendon injuries เช่น เอ็นข้อศอกด้านนอก, เอ็นหน้าเข่า, เอ็นร้อยหวาย, รองช้ำ, เอ็นขาหนีบ, เอ็นสะโพก
• การบาดเจ็บของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อฉับพลัน เช่น กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (ซึ่งมักพบในนักกีฬาฟุตบอล กล้ามเนื้อน่อง,กล้ามเนื้อต้นขาด้านนอก
• ข้อเข่าเสื่อม โรคข้อสะโพกเสื่อม โรคกระดูกสันหลังส่วนคอ
• การผ่าตัดบางชนิด เช่น การผ่าตัดซ่อมเอ็นหัวไหล่ เป็นต้น
ข้อจำกัดในการฉีด PRP
1. ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง, ติดเชื้อ, โรคผิวหนังบางประเภท
2. โรคการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
3. คนไข้ที่กินยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด
4. โลหิตจาง