เอชไพโลไร (H.Pylori) แบคทีเรียร้ายทำลายกระเพาะ
หากคุณมีอาการปวดท้อง แบบเป็นๆ หายๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนอิ่มหรือตอนหิว นั่นอาจไม่ใช่แค่โรคกระเพาะธรรมดาที่เกิดจากการกินอาหารไม่ตรงเวลาอีกต่อไป! ปัจจุบัน เราพบว่าโรคกระเพาะอาหาร มีสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้จัก วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับแบคทีเรียตัวร้าย ที่ชอบทำลายกระเพาะอาหารชนิดนี้กัน
ทำความรู้จักกับ แบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori)
H. Pylori (Helicobacter Pylori) หรือ เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร คือเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่บริเวณเยื่อบุกระเพาะอาหาร โดยเชื้อจะไปกระตุ้นการคัดหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้มีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน รวมถึง โรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่ร้ายแรงถึงชีวิต ทั้งนี้เชื้อแบคทีเรีย H. Pylori สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะของผู้ติดเชื้อได้นานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆ เลยก็ได้
อาการหรือสัญญาณเตือน เมื่อมีการติด เชื้อ H. Pylori
เมื่อมีการติดเชื้อเอชไพโลไร โดยส่วนใหญ่มักไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ แต่จะมีในบางรายที่อาจมีอาการแสดงออกมา เช่น
อาการเหล่านี้ ล้วนรบกวนและส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าว แพทย์จึงมักแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร เพื่อจะได้รักษาอย่างถูกจุดตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะยิ่งพบเชื้อเร็ว ยิ่งง่ายต่อการรักษา และยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องได้ด้วย
เช็คให้ไว! คุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการติด เชื้อ H. Pylori หรือไม่?
หากคุณมีความกังวล สงสัย หรือมีอาการเตือน การปรึกษาแพทย์ เป็นทางออกที่ดีที่สุด และนี่คือ 5 ความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไพโลไร
อยากตรวจหาเชื้อ H. Pylori มีวิธีไหนที่ทำได้บ้าง?
การตรวจหาเชื้อ H. Pylori สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
ป้องกันง่ายๆ ให้ห่างไกล เชื้อ H. Pylori
แม้เชื้อแบคทีเรีย H. Pylori จะไม่แสดงอาการในทันที แต่เชื้อตัวนี้ก็สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของเราได้เป็นเวลาหลายปี ซึ่งการปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลให้เกิดโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมถึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้
สามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อนี้ได้ด้วยวิธีง่ายๆ
ดังนั้นหากเริ่มมีอาการดังกล่าว หรือคุณเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย H. Pylori แนะนำว่าควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้ออย่างละเอียด และเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธีให้หายขาด
บทความโดย
นายแพทย์ อัครวุฒิ จันทราพิรัตน์
แพทย์ประจำอายุรกรรมทางเดินอาหาร
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ