ในช่วงวัยเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 15 ปี ระบบภูมิคุ้มกัน ของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายจาก เชื้อโรค ต่างๆ การใส่ใจดูแล สุขภาพลูกรัก ด้วย การฉีดวัคซีน จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยลด ความเสี่ยง ของการติดเชื้อ และลด ความรุนแรงของโรค เมื่อเจ็บป่วย การได้รับ วัคซีนครบตามกำหนด ในแต่ละช่วงวัย จะช่วย เสริมภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรง ปกป้องร่างกายจาก เชื้อโรค ที่เป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วย
ประเภทของวัคซีนสำหรับเด็กที่ควรรู้
ในประเทศไทยวัคซีนสำหรับเด็กที่แนะนำในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆได้แก่:
วัคซีนพื้นฐาน (Routine Immunization)
เป็นวัคซีนที่เด็กทุกคนควรได้รับตามช่วงอายุที่เหมาะสมซึ่งเป็นไปตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคติดต่อที่พบบ่อยและมีความรุนแรง
1. วัคซีนวัณโรค (BCG): ป้องกัน วัณโรค โดยเฉพาะวัณโรคชนิดรุนแรงในเด็ก
2. วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (HB): ป้องกัน ไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ ตับวาย หรือ มะเร็งตับ ในอนาคต
3. วัคซีนฮิบ (Hib): ป้องกันการติดเชื้อ Haemophilus influenzae type b ซึ่งเป็นสาเหตุของ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และ ปอดอักเสบ รุนแรงในเด็กเล็ก
4. วัคซีนโรต้า (Rota): ป้องกัน โรคอุจจาระร่วงรุนแรง ที่เกิดจาก ไวรัสโรต้า ซึ่งพบบ่อยในเด็กเล็ก
5. วัคซีนโปลิโอ (OPV): ป้องกัน โรคโปลิโอ ที่ทำให้เกิดอัมพาต
6. วัคซีนคอตีบ – บาดทะยัก – ไอกรน (DTaP/DTwp): ป้องกัน โรคคอตีบ, บาดทะยัก และ ไอกรน ซึ่งเป็นโรคที่อันตราย โดยเฉพาะในทารก
7. วัคซีนหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน (MMR): ป้องกัน โรคหัด, คางทูม และ หัดเยอรมัน ซึ่งเป็นโรคที่แพร่กระจายง่ายและมีภาวะแทรกซ้อนได้
8. วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (Live JE): ป้องกัน โรคไข้สมองอักเสบเจอี ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อรุนแรงต่อสมองและระบบประสาท
9. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza): ป้องกัน โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ในเด็ก
10. วัคซีน HPV (Human Papillomavirus): ป้องกันการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ มะเร็งปากมดลูก ในผู้หญิง และมะเร็งอื่นๆ ในเพศชายและหญิง แนะนำให้ฉีดในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น
วัคซีนทางเลือก หรือวัคซีนเสริม (Optional/Supplemental Vaccines)
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมปกป้องเด็กๆให้ครอบคลุมความเสี่ยงของโรคที่มีเพิ่มมากขึ้นหรือมีอัตราการป่วยสูงในเด็กเล็ก:
1. วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (VZV): ป้องกันโรคอีสุกอีใสซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยทำให้เกิดไข้และตุ่มคันอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ในบางราย
2. วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (HAV): ป้องกัน ไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งติดต่อทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ
3. วัคซีนไข้เลือดออก (DEN): ป้องกัน โรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ และยังคงเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย
4. วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าก่อนการสัมผัสโรค (Pre-exposure Rabies Vaccine): แนะนำสำหรับเด็กที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยงบ่อยครั้ง
เตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน คุณแม่ควรเตรียมอะไรบ้าง?
เพื่อให้ การฉีดวัคซีน เป็นไปอย่างราบรื่น คุณแม่ควรเตรียมความพร้อมดังนี้:
1. สมุดบันทึกการรับวัคซีน: นำสมุดประจำตัวของลูกมาด้วยทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์บันทึกข้อมูลการฉีด วัคซีน และกำหนดนัดหมายครั้งต่อไป
2. บันทึกประวัติการแพ้อาหาร หรือยา: แจ้งแพทย์หรือพยาบาลทุกครั้ง หากลูกมีประวัติ การแพ้อาหาร หรือ ยา ที่สำคัญ
3. สังเกตความพร้อมทางร่างกายของลูก: หากลูกมี ไข้, ไม่สบาย, หรือมี อาการป่วย ใดๆ ควรแจ้งแพทย์ และอาจต้องเลื่อนนัด การรับวัคซีน ไปก่อนจนกว่าลูกจะหายดี เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการสร้าง ภูมิคุ้มกัน
ดูแลลูกน้อยหลังฉีดวัคซีน และสิ่งที่ควรทำ
หลัง การฉีดวัคซีน ควรดูแล สุขภาพลูกน้อย อย่างใกล้ชิด เพื่อสังเกต อาการข้างเคียง ที่อาจเกิดขึ้น:
การดูแลให้ลูกรักได้รับวัคซีนครบตามกำหนด ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเรื่องภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ช่วยให้ลูกรักเติบโตแข็งแรงตาม ช่วงวัย และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ