จอประสาทตา (Retina) อยู่บริเวณชั้นในสุดของตาซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นอวัยวะที่ทำให้เรามองเห็นภาพหรือสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน และสิ่งที่ควรทราบอีกประการคือจอประสาทตาไม่สามารถทดแทน หรือใส่จอตาเทียมได้ เพราะฉะนั้นควรดูแลรักษาสุขภาพตาของเราเป็นอย่างดี อย่าให้จอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควร
สำหรับสถานการณ์ของจำนวนผู้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมในประเทศไทย จากงานวิจัยสถิติโรคตาบอด (2559) ประเทศไทยมีอัตราผู้ป่วยที่ตาบอดจากโรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นลำดับที่ 4 ของจำนวนผู้ป่วยตาบอดทั้งหมด โดยอันดับ 1คือ โรคต้อกระจก โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา โรคต้อหิน แต่ภายใน 10 - 20 ปีข้างหน้าหากเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมจะเพิ่มจำนวน และขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 - 3 ในที่สุด
เช็คสุขภาพจอประสาทตา ทำอย่างไร ?
การตรวจจอประสาทตา จากเดิมจักษุแพทย์จะส่องดูจากช่องของรูม่านตา ซึ่งเราสามารถขยายรูม่านตาเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นโดยการหยอดยาขยายม่านตา ซึ่งมีผลทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว ตาสู้แสงไม่ได้ อ่านหนังสือหรือทำงานไม่ได้หลังการตรวจ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีช่องหน้าของตาแคบ อีกทั้งการหยอดยาขยายม่านตาอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะต้อหินเฉียบพลันได้ ต่อมาได้มีการพัฒนาการตรวจหาความผิดปกติที่จอประสาทตาโดยใช้กล้องส่องสภาพจอประสาทตา และกล้องจุลทรรศน์สำหรับตาโดยเครื่องมือเหล่านี้จะใช้การตรวจหลายขั้นตอนแยกเป็นกลุ่ม เช่น ตรวจพิเศษด้วยเครื่องถ่ายภาพ ( Fluorescein angiography ) การฉีดสาร Fluorescein เข้าเส้นเลือดดำเพื่อตรวจดูจอประสาทตา เป็นต้น
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาการตรวจวินิจฉัยโรคให้เป็นไปอย่างแม่นยำ สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ช่วยให้จักษุแพทย์วินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่เพิ่งเริ่มเกิดรอยโรค จึงรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที และยังสามารถติดตามผลการรักษาโรคทางตาได้อย่างแม่นยำ โดยการตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางจอประสาทตาด้วยเลเซอร์ (Optical Coherence Tomography) เพื่อดูลักษณะ และขอบเขตความผิดปกติที่เกิดขึ้น รวมถึงวิเคราะห์โรค และกำหนดแนวทางรักษาได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญคือ ทำให้ผู้ป่วยสะดวกสบายมากขึ้น ลดความเสี่ยง ลดอาการเจ็บปวด ทรมาน
เทคโนโลยี OCT ตัวช่วยจักษุแพทย์วินิจฉัยโรคตา
เครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางขั้วประสาทตาด้วยเลเซอร์ (Optical Coherence Tomography) หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า OCT เป็นเครื่องมือที่ใช้ถ่ายภาพจอประสาทตาในลักษณะภาพตัดขวาง จึงช่วยให้แพทย์เห็นความหนาของชั้นจอประสาทตา และความผิดปกติที่เกิดขึ้น ด้วยการใช้แสงส่องเข้าไปในตาให้ได้ภาพตัดขวางของจอตาออกมาเป็นภาพ 2 และ 3 มิติ ให้ความละเอียดในการวินิจฉัยในระดับ 10 - 15 ไมครอน สามารถแสดงให้เห็นจอตาคล้ายภาพที่ได้จากการตรวจชิ้นเนื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์ ภายในชั้นต่างๆ ของจอตา ซึ่งจอประสาทตาจะแยกเป็นชั้นย่อยๆ อีก 10 ชั้น และขั้วตา นอกจากนี้ ยังสามารถเห็นรายละเอียดบริเวณรอยต่อระหว่างน้ำวุ้นตากับจุดกลางรับภาพจอประสาทตาได้อีกด้วย โดยดูว่าเกิดภาวะดึงรั้งกันอยู่หรือไม่ สามารถตรวจดูระดับของน้ำในตาจากโรคศูนย์กลางจอประสาทตาบวมน้ำว่าในระหว่างการรักษานั้นจะสามารถลดระดับน้ำได้แค่ไหน สามารถตรวจได้ถึงชั้นความหนาของจุดกลางรับภาพจอประสาทตาได้อย่างชัดเจน
เทคโนโลยี OCT สามารถตรวจโรคตา อะไรได้บ้าง
เทคโนโลยี OCT สามารถตรวจโรคตาได้หลายประเภท อาทิ โรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากอายุ โรค จุดรับภาพบวมจากภาวะต่างๆ เช่น เบาหวาน เส้นเลือดดำที่จอประสาทตาอุดตัน โรคจุดรับภาพฉีกขาด ภาวะพังผืดที่จอประสาทตา และจุดรับภาพภาวะจอประสาทตาหลุดลอก ภาวะเส้นเลือดผิดปกติที่จอประสาทตา และโรคต้อหิน เป็นต้น ถือว่าวิธีการตรวจที่ทำได้ง่าย ไม่ต้องขยายม่านตา ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องสัมผัสรังสี รวดเร็ว ละเอียด และแม่นยำ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 0 2271-7000 ต่อ ตา (Absolute Beauty Eye)