โรคตาที่เป็นปัญหาจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องพบกับมลภาวะต่างๆ แสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงโรคเบาหวานที่อาจส่งผลเสียถึงการมองเห็น โรคตาที่พบได้บ่อย ได้แก่ ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม (AMD) เป็นต้น สาเหตุหนึ่งมาจากความเสื่อมของดวงตาที่เกิดจากการสร้างอนุมูลอิสระ ดังนั้น จึงมีการนำเอาสมุนไพรและวิตามิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระมาใช้ประโยชน์ในการบำรุงสายตาเช่น โอเมก้า 3, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, สังกะสี เป็นต้น
บางท่านอาจพบปัญหามองเห็นไม่ชัด หรือตาแห้ง กรณีนี้ โอเมก้า 3 สามารถช่วยได้ โดยเฉพาะ DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งในตระกูลโอเมก้า 3 มีการทดลองทางคลินิกโดยให้โอเมก้า 3 วันละ 3 ครั้ง ครั้ง ละ 2 x 1000 มก. และติดตามผลทุก 3 เดือนเป็นเวลา 1 ปี พบว่าสามารถลดอาการตาแห้ง ช่วยทำให้คุณภาพของน้ำตาดีขึ้น และบำรุงประสาทตา
ยังมีการวิจัยมากมายพบว่าโอเมก้า 3 จะช่วยผลิตน้ำตาให้มากขึ้น จึงช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น ช่วยลดระดับความรุนแรงของอาการตาแห้ง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการสายตาพร่ามัว เราสามารถรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า DHA สูงได้จากสัตว์ โดยเฉพาะปลา ทั้งปลาทะเล และปลาน้ำจืด อาจจะมีมากน้อยต่างกันตามแต่ละชนิด หรือธัญพืชจำพวกแฟล็กซีด (Flaxseed) เมล็ดเชีย และพืชตระกูลถั่ว
วิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญเกี่ยวกับการบำรุงสายตาคือ วิตามินเอ (Vitamin A) มีบทบาทสำคัญในการมองเห็น โดยเป็นองค์ประกอบสำคัญของโรดอปซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ที่จุดรับแสง เรตินาในดวงตา โดยทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเยื่อบุตาและกระจกตา ช่วยในการมองเห็นในที่มืด การขาดวิตามินเอ อาจเกิดอาการที่รุนแรงได้เรียกว่า Xeropthalmia ในระยะแรกจะมีอาการตาบอดกลางคืน (Night Blindness) จึงควรได้รับวิตามินเอในการช่วยปกป้องเรตินาจากการทำร้ายของแสงยูวีและเพื่อการบำรุงสายตา
วิตามินเอ ที่อยู่ในอาหาร มี 2 ลักษณะ
1. วิตามินเอบริสุทธิ์ (Retinol) พบได้ในผลิตผลจากสัตว์ ได้แก่ ตับ ไข่แดง น้ำนม เนย
2. แคโรทีนอยด์ เช่น แคโรทีน ลูทีน ซีอะแซนทิน แหล่งของแคโรทีน คือ ผักผลไม้ที่มีสีส้มหรือสีเหลือง เช่น แครอท มะละกอ ฟักทอง มะม่วง ส้ม ขนุน เสาวรส และแหล่งของลูทีนกับซีอะแซนทินคือ ผักโขม ผักคะน้า ข้าวโพดหวาน บร็อกโคลี ถั่ว และผลไม้ที่มีสีแดง ส้ม เหลือง